สามารถติดตามบทความอื่นๆได้ที่นี่นะครับ https://www.facebook.com/journalingourjourney
สามารถติดตามบทความอื่นๆได้ที่นี่นะครับ https://www.facebook.com/journalingourjourney
ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม
แต่สำหรับคนจำนวนไม่น้อย หลังจากที่พวกเขาได้เข้ามาอยู่ในความสัมพันธ์กับแฟนตัวเองสักพัก สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ พวกเขาจะเริ่มรู้สึกว่าตัวเอง “ตัวเล็ก” ลงเรื่อยๆ ในขณะที่แฟนของพวกเขา “ตัวใหญ่” มากขึ้นเรื่อยๆ
กล่าวคือ หลังจากที่หลายคนได้เข้ามาอยู่ในความสัมพันธ์กับแฟนของตัวเอง พวกเขาก็เริ่มรู้สึกสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง พวกเขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่มีพลังอำนาจในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆภายในความสัมพันธ์ พวกเขาเริ่มรู้สึกว่าความฝันและความต้องการที่พวกเขาเคยมี (ก่อนที่จะมาคบกับแฟน) กำลังเลือนหายลงเรื่อยๆ
มันเหมือนกับว่า พอพวกเขาได้เข้ามาอยู่ในความสัมพันธ์นี้ “แสงสว่าง” ในตัวพวกเขาก็ค่อยๆริบหรี่ลงเรื่อยๆๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง พวกเขาก็จะตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองไม่เหลือ “แสงสว่าง” ในตัวอีกต่อไป
แน่นอนครับว่า คงไม่มีใครที่อยากเห็นตัวเองเป็นแบบนี้
ฉะนั้น การคอยหมั่นจับตาดู “สัญญาณเตือนภัย” ที่เกิดขึ้นภายในความสัมพันธ์เป็นระยะๆจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันจะช่วยให้เราไหวตัวได้ทัน ก่อนที่ “แสงสว่าง” ในตัวเราจะดับมืดลงอย่างรุนแรง
ต่อไปคือตัวอย่างของ “สัญญาณเตือนภัย” ที่เราควรจะต้องให้ความสนใจครับ
# 1 แฟน “ชี้นิ้วสั่ง” ว่าเราควรจะตัดสินใจในเรื่องใหญ่ๆอย่างไรบ้าง (เช่น เรื่องที่อยู่อาศัย เรื่องโอกาสในการทำงาน) แทนที่จะเป็นการพูดคุยแบบ “ปรึกษาหารือร่วมกัน”
# 2 แฟนมีการ “ชักใย” ให้เราสงสัยในประสบการณ์ของตัวเราเอง (เช่น เราเห็นว่าแฟนส่งข้อความสไตล์ “หยอดขนมจีบ” ใส่แฟนเก่าของแฟน แต่พอเราหยิบเรื่องนี้มาคุยกับแฟน แฟนก็บอกเราว่า “เธอมองผิดแล้ว ฉันไม่เคยทำอะไรแบบนั้นเลย!”)
# 3 แฟนใช้ความรู้สึกผิดเป็นเครื่องมือในการโน้มน้าวให้เราทำในสิ่งที่แฟนต้องการ (เช่น เราติดงานด่วนกับหัวหน้า ทำให้เราไม่สามารถขับรถไปรับแฟนได้เร็วตามที่ได้รับปากกับแฟนไว้ก่อนหน้านี้ แฟนเลยพูดในลักษณะประชดประชันกับเราว่า “ใช่สิ! ก็ฉันมันไม่มีค่ากับเธอนี่!”)
# 4 แฟนใช้คำพูดดูถูกถากถางความสามารถ ความฉลาด หรือความฝันของเรา (เช่น “เธอแน่ใจนะว่าเธอมีสมองมากพอที่จะเรียนต่อปริญญาโทได้”)
# 5 แฟนพยายามขัดขวางเวลาที่เราอยากจะติดต่อกับเพื่อนหรือครอบครัวของเรา
แน่นอนครับว่า “สัญญาณเตือนภัย” ข้างต้นอาจจะยังไม่สามารถฟันธงได้ (ด้วยตัวมันเอง) ว่าความสัมพันธ์ที่เรามีกับแฟนนั้นเป็นความสัมพันธ์ที่ “กลิ่นไม่ดี” ชัวร์ๆ 100%
อย่างไรก็ตาม หากความสัมพันธ์ที่เรามีกับแฟนเป็นความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วย “สัญญาณเตือนภัย” ข้างต้น อย่างน้อยที่สุด เราก็อาจต้องพิจารณาการ “เหยียบเบรก” ความสัมพันธ์ไม่ให้ขยับไปข้างหน้ามากกว่านี้บ้างแล้วแหละครับ
อ้างอิง
https://psycnet.apa.org/doi/10.1037/pspi0000048
https://doi.org/10.1177/0146167207304790
https://doi.org/10.46991/AFA/2024.20.1.61
https://doi.org/10.1177/0003122419874843
พ่อแม่หลายคนไม่ได้ตั้งเป้าอยากให้ลูกเป็นเด็กเรียนเก่ง
อย่างไรก็ตาม ถ้าลูกของพวกเขาเรียนเก่งเพราะมีความสนใจ (หรือความถนัด) ในสิ่งที่เรียนด้วยตัวเอง พ่อแม่ก็ไม่ได้คัดค้านนะครับ
เพียงแต่ว่า…นั่นไม่ใช่ “โฟกัสหลัก” ของพ่อแม่กลุ่มนี้
“โฟกัสหลัก” ของพ่อแม่กลุ่มนี้คือการเลี้ยงลูกให้มีความฉลาดทางอารมณ์
ยิ่งวันเวลาผ่านไป ผมพบว่าพ่อแม่กลุ่มนี้ดูจะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆๆ
คำถามสำคัญสำหรับพ่อแม่กลุ่มนี้ก็คือ พวกเขาจะเลี้ยงลูกให้มีความฉลาดทางอารมณ์ได้อย่างไร
บทความในวันนี้มีคำตอบ (บางส่วน) ให้กับคำถามนี้ครับ
# 1
เวลาที่ลูกกำลังเกิดความรู้สึกบางอย่างที่เข้มข้น แทนที่จะ “ปัดตก” ความรู้สึกที่เข้มข้นนั้น (เช่น “ช่างมันเถอะ ลูก”) พ่อแม่สามารถพูด “สะท้อน” ความรู้สึกที่ลูกกำลังเจออยู่ ณ ขณะนั้นได้ (เช่น “แม่รู้ว่าลูกเสียใจที่ทำคะแนนได้ต่ำกว่าที่ลูกหวังไว้”)
เพราะการพูดชื่ออารมณ์ความรู้สึกที่เข้มข้นอยู่ในใจลูกนั้นสามารถกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนที่ “ควบคุมกำกับอารมณ์” ของลูก ส่งผลให้ความรู้สึกที่เข้มข้นของลูกลดระดับความเข้มข้นลงได้นั่นเองครับ (นักจิตวิทยามีชื่อเรียกสิ่งนี้ว่า Name it to tame it)
# 2
เวลาที่ลูกเจอกับปัญหาบางอย่าง แทนที่พ่อแม่จะรีบกระโจนเข้าไปให้คำแนะนำหรือเสนอวิธีแก้ปัญหากับลูกอย่างรวดเร็ว พ่อแม่อาจจะใช้เวลาชวนลูกคิดดูก่อนว่าลูกจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยตัวเองอย่างไร
ยกตัวอย่างเช่น หากพ่อแม่เห็นว่าลูกกำลังสับสนกับการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ แทนที่พ่อแม่จะรีบให้คำแนะนำกับลูกว่า “ลูกเดินไปถามคุณครูดูซิ” พ่อแม่อาจจะพูดในเชิงชวนลูกคิดดูว่า “ลูกไม่เข้าใจแบบฝึกหัดข้อนี้ และลูกอยากจะเข้าใจมันมากขึ้น – ลูกคิดว่ามีอะไรที่ลูกสามารถทำได้ไหมที่จะช่วยให้ลูกเข้าใจมันได้มากขึ้น?” เป็นต้น
การทำแบบนี้มันอาจจะดู “เสียเวลา” สักหน่อย (เพราะการให้ลูกหาทางออกด้วยตัวเองมันกินเวลามากกว่ากรณีที่พ่อแม่ให้ทางออกกับลูกไปเลย) แต่ประสบการณ์ที่ลูกได้ดิ้นรนและหาทางออกด้วยตัวเองนี้จะช่วยให้ลูกเป็นเด็กที่มีความมั่นใจและคุ้นชินกับการเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่างๆในชีวิตด้วยตัวเองในระยะยาวครับ
# 3
เวลาที่พ่อแม่เกิดความรู้สึกที่เข้มข้นต่อหน้าลูก (เช่น ไม่พอใจกับการใช้คำพูดที่ “ไม่เคารพ” ของลูก) วิธีที่พ่อแม่รับมือกับความรู้สึกดังกล่าวสามารถกลายเป็น “ต้นแบบ” ให้ลูกได้
ด้วยเหตุนี้ หากพ่อแม่ต้องการเลี้ยงลูกให้มีความฉลาดทางอารมณ์ เมื่อไหร่ก็ตามที่พ่อแม่เกิดความรู้สึกที่เข้มข้นต่อหน้าลูก สิ่งหนึ่งที่พ่อแม่อาจจะตั้งคำถามกับตัวเองก็คือ “ถ้าลูกเป็นฉันในตอนนี้ ฉันจะอยากให้ลูกรับมือกับสถานการณ์ ณ วินาทีนี้อย่างไร?”
หากพ่อแม่รู้สึกไม่พอใจกับการใช้คำพูดที่ “ไม่เคารพ” ของลูก และพ่อแม่ต้องการให้ลูก “กด” ความรู้สึกไม่พอใจดังกล่าว พ่อแม่ก็จะ “กด” ความรู้สึกนั้น
หากพ่อแม่รู้สึกไม่พอใจกับการใช้คำพูดที่ “ไม่เคารพ” ของลูก และพ่อแม่ต้องการให้ลูกตวาดใส่คนที่สร้างความไม่พอใจให้กับลูก พ่อแม่ก็จะตวาดลูกด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว
หากพ่อแม่รู้สึกไม่พอใจกับการใช้คำพูดที่ “ไม่เคารพ” ของลูก และพ่อแม่อยากให้ลูกใช้เวลาสงบสติอารมณ์สักพัก ก่อนที่จะสื่อสารความไม่พอใจนั้นออกไปอย่างมีวุฒิภาวะ พ่อแม่ก็จะสูดหายใจเข้าลึกๆ เดินออกจากห้องไปสัก 2-3 นาที และกลับมาคุยกับลูกด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบว่า “คำพูดที่ลูกใช้เมื่อสักครู่ พ่อรู้สึกไม่พอใจนะ”
เพราะในที่สุดแล้ว คำสอนที่ดีที่สุดของพ่อแม่คือการทำให้ลูกดูนั่นเองครับ
อ้างอิง
https://doi.org/10.1177/1754073917742706
https://doi.org/10.1371/journal.pone.0279303
เวลาที่หลายคนมีความรัก
ครอบครัวของพวกเขาจะแสดงท่าที “ไม่เห็นด้วย”
กับแฟนที่พวกเขาคบหาอยู่ด้วย
อันที่จริง นอกจากจะแสดงท่าที “ไม่เห็นด้วย” แล้ว
ครอบครัวของหลายคนยังพยายามที่จะ “ทำลาย”
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับแฟนอีกด้วย
แต่สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นก็คือ
ยิ่งครอบครัว “ไม่เห็นด้วย” หรือพยายาม “ทำลาย”
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับแฟนมากเท่าไหร่
พวกเขายิ่งมีแนวโน้มที่จะคบกับแฟนอย่างเหนียวแน่นมากเท่านั้น!
ในทางจิตวิทยา เราเรียกสิ่งนี้ว่า Romeo and Juliet effect ครับ
Romeo and Juliet effect เกิดขึ้น
เพราะโดยธรรมชาติแล้ว
มนุษย์เรามีความต้องการที่อยากจะ
“กุมบังเหียนชีวิตตัวเอง” ในเรื่องต่างๆ
ไม่ว่าจะเรื่องความรักความสัมพันธ์ การทำงาน หรือเรื่องอะไรก็ตาม
ความพยายามของครอบครัวที่จะ “ทำลาย”
ความรักของลูกหลานที่เกิดขึ้นนั้น
มันคือความพยายามที่จะ “กุมบังเหียนชีวิตลูกหลาน”
…ซึ่งขัดกับธรรมชาติของคนเราที่อยากจะ “กุมบังเหียนชีวิตตัวเอง” อย่างแรง
ด้วยเหตุนี้ หากครอบครัวรู้สึกเป็นห่วง
กับคนที่ลูกหลานกำลังคบหาดูใจอยู่
การแสดงความเป็นห่วงในรูปแบบของ
การ “คัดค้าน” หรือแม้กระทั่งพยายาม “ทำลาย”
ความสัมพันธ์ของลูกหลานกับแฟน
จึงมักจะเป็นการแสดงออกที่ “ไม่ได้ผล”
หรือต่อให้ “ได้ผล” ราคาที่ครอบครัวต้องจ่าย
คือความสัมพันธ์กับลูกหลานที่จะย่ำแย่ตามมา
หากครอบครัวรู้สึกเป็นห่วงว่า
ลูกหลานกำลังคบอยู่กับแฟนที่ toxic
หนทางที่น่าจะ “ได้ผล” มากกว่า
คือการชวนลูกหลานพูดคุยทบทวนว่า…
แฟนทำพฤติกรรม (ที่ครอบครัวมองว่า toxic) อะไรบ้าง
และตัวลูกหลานเองรู้สึกยังไงกับพฤติกรรมเหล่านี้ของแฟน
การพูดคุยในลักษณะที่ครอบครัว
พยายามทำความเข้าใจ (โดยไม่ตัดสิน) กับลูกหลานแบบนี้
สามารถช่วยให้ลูกหลานชัดเจนกับความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น
ซึ่งหากพฤติกรรมของแฟนเป็นพฤติกรรมที่ toxic จริงๆ
(ไม่ใช่เพียงแค่พฤติกรรมที่ครอบครัวไม่ชอบเป็นการส่วนตัวเท่านั้น)
มันมีโอกาสที่ลูกหลานจะตัดสินใจยุติความสัมพันธ์นี้ด้วยตัวเองในเวลาต่อมาโดยที่ครอบครัวไม่ต้องเข้าไปพยายาม “ทำลาย” ความสัมพันธ์นี้เลยครับ
อ้างอิง
หลายคนมองว่าการเลิกกับแฟนคือจุดจบ
ถ้าเปรียบชีวิตของเราเป็นเหมือนกับหนังสือ
การเลิกกับแฟนมันคือการจบบทโดยสมบูรณ์
แน่นอนครับว่าจุดจบมักจะมาพร้อมกับความเจ็บปวด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราไม่ได้เป็นฝ่ายที่บอกเลิก
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่จุดจบ
นี่ยังถือเป็นโอกาสอีกด้วย
โอกาสที่จะได้เริ่มต้น “เขียนบทใหม่” ของชีวิต
โดยไม่มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับแฟน
เข้ามาเป็นข้อจำกัดในการ “เขียนบทใหม่” นี้
นี่คือโอกาสที่เราจะได้วาดภาพชีวิตของเราในอนาคตต่อไปได้อย่างมีอิสระเต็มที่
ก่อนหน้านี้ ตอนที่เรายังอยู่กับแฟน
เราอาจจะต้องเจียดเวลาและพลังงานในชีวิตไปให้แฟนอยู่บ้าง
ส่งผลให้เราไม่สามารถที่จะโฟกัสที่ตัวเราได้เต็ม 100%
ตอนนี้ เราสามารถโฟกัสที่ตัวเราได้เต็ม 100% แล้ว
ความเป็นตัวเราที่อาจไม่เคยได้รับการเติมเต็มโดยสมบูรณ์ในอดีต
(เช่น ความสนใจของเรา ความฝันของเรา)
นับจากนี้ไป เราสามารถหันมาเริ่มต้นเติมเต็มความเป็นตัวเราได้แล้ว
จริงอยู่ครับว่า
สิ่งที่ผมกำลังนำเสนออยู่นี้
มันเป็นอะไรที่ “พูดง่ายทำยาก”
เพราะพอถึงเวลาจริงๆ ความเจ็บปวดจากการเลิกรา
มันสามารถถาโถมเข้ามาจนท่วมท้นใจเราได้
ทำให้เราไม่มีกะจิตกะใจที่อยากจะ “เขียนบทใหม่” แล้ว
อันที่จริง ความเจ็บปวดที่หลายคนเผชิญ
มันเข้มข้นท่วมท้นมากจนทำให้พวกเขา
คิดที่จะ “ปิดหนังสือ” ชีวิตพวกเขาเลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อมั่นว่า
ไม่ว่าความเจ็บปวดที่เราเผชิญอยู่
มันจะเข้มข้นท่วมท้นเพียงใด
พวกเราทุกคนล้วนมีศักยภาพ
ที่จะยืดหยัดต่อความเจ็บปวดนั้นได้
ผมเชื่อมั่นว่า พวกเราทุกคนล้วนมีศักยภาพ
ที่จะสัมผัสกับความเจ็บปวดนั้น
พร้อมๆกับเดินหน้า “เขียนบทใหม่” ต่อไปได้
ผมมีความเชื่อมั่นว่า
หากเรายังคงเดินหน้า “เขียนบทใหม่” ต่อไปเรื่อยๆ
แม้แต่ความเจ็บปวดที่ครั้งหนึ่งมันเคยรู้สึก
เข้มข้นแสนสาหัสก็จะผ่อนคลายลงในท้ายที่สุด
ผมขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้กับทุกๆคน
ที่กำลังเจอกับความเจ็บปวดจากการเลิกราในตอนนี้นะครับ
แม้หลายคนจะเลิกกับแฟนเก่าไปแล้ว…
.
แต่อยู่มาวันหนึ่ง แฟนเก่าก็ติดต่อมาหาพวกเขา
และต้องการที่จะกลับมาคบกับพวกเขาอีกครั้ง
(หากรู้ว่าพวกเขายังมีสถานะที่ “โสด” อยู่)
พวกเขาจึงจำเป็นต้องตัดสินใจว่า
พวกเขาจะ “ตอบตกลง” หรือ “ปฏิเสธ” ดี
…ซึ่งสำหรับหลายๆคน นี่ไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่ายเลย
โดยส่วนตัวแล้ว
ผมมองว่าสิ่งที่อาจจะช่วยให้การตัดสินใจง่ายขึ้น
คือการทบทวนพิจารณาประเด็นต่อไปนี้ครับ
# 1
อะไรคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เราเลิกกับแฟนเก่าตั้งแต่แรก?
(เช่น แฟนเก่าติดพนัน เราย้ายไปอยู่คนละประเทศกับแฟนเก่า)
และสาเหตุดังกล่าวยังคงมีอยู่ในทุกวันนี้หรือไม่?
หากสาเหตุนั้นยังคงมีอยู่ในทุกวันนี้ล่ะก็
(เช่น แฟนเก่ายังคงติดพนันเหมือนเดิม
เรากับแฟนเก่ายังคงอยู่กันคนละประเทศเหมือนเดิม)
ต่อให้เราจะกลับไปคบกับแฟนเก่าอีก
ไม่ช้าก็เร็ว เรากับแฟนเก่าก็คงจะเลิกกันในอนาคตอยู่ดีครับ
# 2
อะไรคือหลักฐานที่ “จับต้องได้” (ไม่ใช่แค่คำพูดของแฟนเก่า)
ที่บ่งบอกว่าแฟนเก่าเขาเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนแล้วจริงๆ?
ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าแฟนเก่าบอกว่า “ทุกวันนี้ฉันไม่ติดพนันแล้วนะ”
นี่ยังไม่ถือว่าเป็นหลักฐานที่ “จับต้องได้”
แต่ถ้าทุกวันนี้ แฟนเก่ามีเงินเก็บก้อนหนึ่งแล้ว
(จากเมื่อก่อนตอนติดพนันที่มีแต่หนี้สิน ไม่เคยมีเงินเก็บ)
นี่ถือเป็นหลักฐานที่ “จับต้องได้” ชิ้นหนึ่ง
เป็นต้น
# 3
นับตั้งแต่วันที่เราเลิกกับแฟนเก่ามาจนถึงวันนี้
ตัวเราเองมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง?
สิ่งที่เปลี่ยนไปนั้นจะช่วยให้ความสัมพันธ์
ระหว่างเรากับแฟนเก่าดีขึ้นหรือแย่ลง?
# 4
ทุกวันนี้
ทักษะการสื่อสารระหว่างเรากับแฟนเก่า
ดีขึ้นจากเมื่อก่อนที่เคยคบกันหรือไม่?
ถ้าการสื่อสารระหว่างเรากับแฟนเก่าไม่ได้ดีขึ้น
(หรือแม้กระทั่งแย่ลงกว่าเดิม) มันยากมากเลยครับ
ที่เรากับแฟนเก่าจะไปด้วยกันรอดได้
เพราะการสื่อสารถือเป็น “ก้าวแรก” ในการแก้ปัญหาต่างๆ
ที่เกิดขึ้นภายในความสัมพันธ์ ถ้า “ก้าวแรก” ของเรากับแฟนเก่า
“ง่อนแง่น” เหมือนเดิมหรือ “ง่อนแง่น” ยิ่งกว่าเดิม
การแก้ปัญหาภายในความสัมพันธ์ก็คง “ง่อนแง่น” ตามไปด้วย
ซึ่งในที่สุดแล้ว มันก็จะนำมาสู่การเลิกกันในเวลาต่อมาอยู่ดี
# 5
ถ้าคนที่เรารักและห่วงใยมากๆกำลังเผชิญหน้า
กับสถานการณ์ที่เรากำลังเจออยู่นี้ (แฟนเก่ามาขอคืนดี)
เราจะให้คำแนะนำกับคนๆนั้นอย่างไรบ้าง?
หลายครั้ง การหาคำตอบให้กับตัวเองมันเป็นเรื่องยาก
แต่พอเรา “เปลี่ยนมุม” มามองสถานการณ์
ผ่านสายตาของ “คนนอก” คำตอบก็อาจจะปรากฏ
ขึ้นมาในใจได้ง่ายขึ้นเยอะเลยครับ
อ้างอิง
https://doi.org/10.1177/0265407520962849
https://doi.org/10.1111/j.1741-3737.2012.01029.x
https://psycnet.apa.org/doi/10.1111/j.1475-6811.2009.01208.x
หลายคนที่มีแฟนมีความเชื่อว่า
หากพวกเขา “พยายามให้มากพอ”
พวกเขาก็จะเปลี่ยนแฟนของตัวเองได้
แต่สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นก็คือ
ต่อให้การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นจริงๆ
มันก็ไม่ได้มีปริมาณที่เยอะเท่าไหร่นัก
แถมความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับแฟน
ก็มีแนวโน้มที่จะ suffer อีกด้วย
เพราะเมื่อพวกเขาพยายามเปลี่ยนแฟน
แฟนก็มีแนวโน้มที่จะเกิดความคิดขึ้นมาในใจว่า…
“เธอไม่ยอมรับฉันอย่างที่ฉันเป็น”
“เธอไม่ได้ชอบที่ฉันเป็นฉัน”
“ตัวฉันที่เป็นอยู่ในตอนนี้ยังดีไม่พอสำหรับเธอ”
ยิ่งไปกว่านั้น การพยายามเปลี่ยนแฟนของพวกเขา
มันยังเป็นการละเมิด need for autonomy
(ความต้องการที่จะกำหนดทิศทางชีวิตตัวเอง) ของแฟนอีกด้วย
ไม่แปลกใจเลยครับที่แฟนของพวกเขา
จะรู้สึกกดดัน เสียใจ น้อยเนื้อต่ำใจ โกรธ ฯลฯ
จนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับแฟน suffer
จริงอยู่ครับว่า คนเราเปลี่ยนแปลงกันได้
ตัวผมเองที่ทำงานเป็นนักจิตวิทยา
ก็ได้มีโอกาสมองเห็นความเปลี่ยนแปลง
ที่เกิดขึ้นในตัวผู้รับบริการของผม
มาเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน
แต่สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างกรณีของผม
กับกรณีของคนที่พยายามเปลี่ยนแฟนตัวเองก็คือ…
ในกรณีของผมนั้น
ผู้รับบริการที่มาเจอผมเขาต้องการ
ที่จะเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเขาเอง
แต่ในกรณีของคนที่พยายามเปลี่ยนแฟนนั้น
หลายครั้ง ตัวแฟนเขาไม่ได้อยากเปลี่ยน
แน่นอนครับว่า ผมไม่ได้ต้องการที่จะสื่อว่า
ทุกคนที่มีแฟนจะต้องพอใจกับทุกอย่างในความสัมพันธ์
หรือต่อให้มีอะไรบางอย่างที่ไม่พอใจ
ก็ต้องรูดซิปปากเก็บเงียบไปหมดทุกเรื่อง
แต่มันปฏิเสธไม่ได้จริงๆครับว่า
เวลาที่เราสื่อสารพูดคุยกับแฟน
ด้วยใจที่ไม่มีความเข้าอกเข้าใจและ
ไม่เคารพ need for autonomy ของแฟน
มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างกับเวลาที่เรา
สื่อสารพูดคุยกับแฟนด้วยใจที่มีความเข้าอกเข้าใจ
และเคารพ need for autonomy ของแฟนมากเลยครับ
…ต่อให้เราจะใช้คำพูดในการสื่อสารพูดคุยกับแฟนที่เหมือนกันเป๊ะๆเลยก็ตาม
เวลาที่เรารู้สึกไม่พอใจแฟน
(ไม่ว่าจะเป็นความไม่พอใจในเรื่อง “เล็ก” หรือเรื่อง “ใหญ่” ก็ตาม)
หลายคนจะเลือกเก็บความไม่พอใจนั้นไว้ในใจ
การที่พวกเขาตัดสินใจแบบนี้
ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่อยากแก้ปัญหา
แต่เพราะพวกเขามองว่า
หากพวกเขาหยิบความไม่พอใจนั้นสื่อสารออกไป
มันจะนำมาสู่การทะเลาะกัน
ต่อให้การทะเลาะกันนั้น
จะนำมาสู่การแก้ปัญหาได้ในที่สุด
แต่มันก็จะเป็นอะไรที่ “กินพลังงาน” มหาศาล
แถมยังอาจจะสร้าง “รอยร้าว” ในความสัมพันธ์ได้อีกด้วย
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หลายคน
ตัดสินใจที่จะ “ช่างมัน” และเก็บความไม่พอใจนั้นไว้ในใจ
(แทนที่จะหยิบความไม่พอใจสื่อสารออกไปกับแฟน)
ซึ่งการตัดสินใจแบบนี้มันจะไม่สร้างปัญหา
ให้กับความสัมพันธ์เท่าไหร่นะครับ
หากเรื่องที่เรา “ช่างมัน” มีจำนวนเพียงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม หากเรื่องที่เรา “ช่างมัน” มีจำนวนมากๆเข้า
(หรือเรื่องที่เรา “ช่างมัน” เป็นเรื่องที่ “ใหญ่” และ “สำคัญ” จริงๆ)
ในที่สุดแล้ว เราก็จะ “ช่างมัน” ไม่ไหวและ “ระเบิด” ตู้มออกมา
ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับแฟนเกิด “รอยร้าว” ได้อยู่ดี
ด้วยเหตุนี้
หนทางที่เราจะสามารถหยิบความไม่พอใจ
มาพูดคุยกับแฟน (โดยไม่ทะเลาะกัน) จึงเป็น
สิ่งที่มีความสำคัญในความสัมพันธ์มาก
และหนทางหนึ่งที่ “ได้ผล” กับคู่รักจำนวนมากก็คือ
เรากับแฟนตกลงกันล่วงหน้าเลยครับว่า…
ทุกๆสัปดาห์ (หรือทุกๆสองสัปดาห์ หรือทุกๆเดือน)
เรากับแฟนจะมานั่งจับเข่าคุยกันว่า
ในช่วง 1 สัปดาห์ (หรือ 2 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน) ที่ผ่านมานั้น
มีสิ่งไหนที่เราอยากจะขอให้อีกฝ่ายปรับบ้าง
(เป็นการพูดคุยที่เน้น “ทางออก” มากกว่า “ปัญหา”)
การตกลงพูดคุยกับแฟนแบบนี้
สามารถช่วยให้เราสื่อสาร
ความไม่พอใจของเรากับแฟน
(โดยไม่ทะเลาะกัน) ได้ง่ายขึ้นเพราะว่า
ประการแรก
ถ้าเรารู้สึกไม่พอใจกับแฟน
และเราตัดสินใจสื่อสารกับแฟนในตอนนั้นเลย
ความไม่พอใจที่กำลังระอุ
อยู่ในใจอาจจะทำให้เราทะเลาะ
แทนที่จะสื่อสารพูดคุยกันดีๆได้
อย่างไรก็ตาม
การที่เรา “นัดวัน” กับแฟนไว้แบบข้างต้น
มันจะช่วยให้เรามีเวลา cool down ความไม่พอใจของเรา
ส่งผลให้เรามีแนวโน้มที่จะสื่อสารพูดคุยกันดีๆ
มากกว่าทะเลาะกันครับ
อีกประการหนึ่ง
การ “นัดวัน” ที่จะพูดคุยกับแฟน
อย่างสม่ำเสมอแบบข้างต้น
สามารถช่วยป้องกันไม่ให้เราสะสม
ความไม่พอใจไว้ในใจเป็นจำนวนมาก
(เพราะเราได้มีโอกาส “ปล่อยของ” กับแฟนเป็นระยะๆ)
ฉะนั้น เวลาที่เราสื่อสารพูดคุยกับแฟน
เราจึงมีแนวโน้มที่จะสื่อสารพูดคุย
กับแฟนอย่างใจเย็นได้มากขึ้น
เมื่อเทียบกับกรณีที่เราสื่อสารพูดคุยกับแฟน
โดยที่ในใจเราเปี่ยมล้นไปด้วยความไม่พอใจ
ที่เราสะสมไว้นานเป็นเดือนๆ (หรือปีๆ)
ผมหวังว่าแนวทางที่ผมหยิบมานำเสนอในวันนี้
จะเป็นประโยชน์กับทุกๆคนที่อยากจะพัฒนา
แนวทางการรับมือกับความขัดแย้งภายในความสัมพันธ์นะครับ
อ้างอิง
พวกเราหลายคนเป็น people pleaser
กล่าวคือ เรามักจะ “ตามใจ” คนอื่น
(แม้การ “ตามใจ” นั้นจะเป็นอะไรที่ “ขัดใจ” เราก็ตาม)
ยกตัวอย่างเช่น
เวลาที่มีคนมาขอให้เราช่วยทำงานบางอย่างให้กับเขา
เราก็ตัดสินใจที่จะตอบตกลงช่วยเหลือเขาไปทันที
ทั้งๆที่ใจเราก็ไม่ได้อยากจะช่วยเขาเลย
(เพราะงานของเราเองก็กองเป็นภูเขาอยู่แล้ว)
เป็นต้น
หลายคนที่เป็น people pleaser รู้ดีครับว่า
ความเป็น people pleaser ของพวกเขากำลัง
ทำให้พวกเขาต้องแบกภาระเยอะ “เกินจำเป็น”
หลายคนที่เป็น people pleaser รู้ดีครับว่า
ความเป็น people pleaser ของพวกเขากำลัง
เปิดช่องให้คนอื่น “เอาเปรียบ” พวกเขา
แต่ถึงกระนั้น
มันก็ยังไม่ง่ายสำหรับ people pleaser
ที่จะหยุด “ตามใจ” คนอื่นอยู่ดี!
วันนี้ ผมมีเทคนิคง่ายๆมานำเสนอครับ
มันเป็นเทคนิคที่คงจะไม่ได้เปลี่ยน
คนที่เป็น people pleaser ให้หยุด “ตามใจ” คนอื่น
ได้แบบ “พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ” ก็จริง
แต่ผมมองว่ามันเป็น “ก้าวแรก” ของความเปลี่ยนแปลง
ที่น่าจะเหมาะกับ people pleaser หลายๆคนเลยครับ
เทคนิคที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นี้ก็คือ
เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนมาขอความช่วยเหลือจากเรา
เราห้ามตอบตกลงในตอนนั้นโดยเด็ดขาด!
เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนมาขอความช่วยเหลือจากเรา
สิ่งที่เราจะทำก็คือ เราจะตอบคนๆนั้นไปว่า
“ฉันขอเวลาคิดดูก่อน และเดี๋ยวฉันจะให้คำตอบกับเธอทีหลังนะ”
ถ้าหากเราได้ใช้เวลาคิดทบทวนดูแล้ว
และเรายังอยากจะตกลงช่วยเหลือคนๆนั้นอยู่
เราก็ช่วยไปครับ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคือ
สำหรับหลายๆกรณี พอเราได้มีเวลาคิดทบทวนดูแล้ว
เราก็จะตัดสินใจไม่ช่วยครับ
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ
ด้วยเทคนิคนี้ เราอาจจะยังคงตกลงช่วยเหลือหลายๆคนอยู่ก็จริง
แต่เทคนิคนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เรา “เผลอ” ตอบตกลง
ไปแบบอัตโนมัติ ณ วินาทีที่มีคนมาขอความช่วยเหลือจากเราได้
(ซึ่งเป็นสิ่งที่ people pleaser หลายคนทำจน “เคยชิน” ไปเสียแล้ว)
ผมหวังว่าเทคนิคที่ผมนำเสนอในวันนี้
จะเป็นประโยชน์ในเบื้องต้นกับทุกๆคน
ที่กำลังพยายามเปลี่ยนความเป็น people pleaser ของตัวเองนะครับ!
หลายคนคงจะคุ้นเคยกับคำว่า people pleaser เป็นอย่างดี
คำๆนี้หมายถึงคนที่ให้ความสำคัญ
กับความรู้สึกและความต้องการของคนอื่น
มากจนถึงขั้นที่ละเลยความรู้สึกและความต้องการของตนเอง
ท่านผู้อ่านอ่านย่อหน้าในข้างต้นแล้วรู้สึกคุ้นๆไหมครับ?
ท่านผู้อ่านอาจจะพบว่า สิ่งที่ผมเขียนไว้ในย่อหน้าข้างต้น
มันเป็นคำอธิบายที่ตรงกับหลายๆคนที่ท่านรู้จักในชีวิตของท่านได้
มันอาจจะเป็นเพื่อนสนิทของท่าน แฟนของท่าน พี่น้องของท่าน
…หรือแม้กระทั่งตัวท่านเอง
สำหรับกรณีที่ท่านผู้อ่านพบว่า
คนใกล้ตัวของท่านดูจะเข้าข่าย people pleaser นั้น
ท่านอาจจะสงสัยอยู่เหมือนกันนะครับว่า
อะไรคือเหตุผลที่ทำให้พวกเขาแคร์คนอื่นมากถึงขนาดนี้?
เหตุผลข้อหนึ่งที่ทำให้ people pleaser หลายคน
แคร์คนอื่นมากจนถึงขั้นละเลยตัวเองนั้น
เป็นเพราะ people pleaser จำนวนไม่น้อยมีความเชื่อว่า
หากพวกเขาใส่ใจและตามใจความรู้สึกและความต้องการของคนอื่นได้มากพอ พวกเขาจะได้รับความรัก การยอมรับ และความเคารพจากคนอื่นกลับมา
มันคล้ายๆกับการ “ยื่นหมูยื่นแมว” เลยครับ
เราแคร์ความรู้สึกและความต้องการของคนอื่น (ยื่นหมู)
คนอื่นก็จะรัก ยอมรับ เคารพ สนใจ แคร์เรากลับ (ยื่นแมว)
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ people pleaser จำนวนไม่น้อยค้นพบก็คือ…
ประการแรก
พวกเขาค้นพบว่า แม้พวกเขาจะแคร์คนอื่นมากๆๆๆๆๆๆ
แต่หลายครั้ง มันก็ยังดูจะ “ไม่เพียงพอ” ที่จะเหนี่ยวนำให้
คนอื่นหันมารัก ยอมรับ เคารพ สนใจ แคร์พวกเขาอยู่ดี
ประการต่อมา
พวกเขาค้นพบว่า
ต่อให้คนอื่นจะหันมารัก ยอมรับ เคารพ สนใจพวกเขา
พวกเขาก็จะเกิดคำถามในใจอยู่ดีว่า
“ตกลงแล้ว คนอื่นรัก ยอมรับ เคารพ สนใจ แคร์ฉันจริงๆไหมนะ?
หรือคนอื่นเพียงแค่รัก ยอมรับ เคารพ สนใจ แคร์ฉัน
เพราะฉันคือคนที่คอย “ยื่นหมู” ไปให้พวกเขาเท่านั้น?”
และเมื่อ people pleaser เจอปัญหาเหล่านี้
ทางออกของพวกเขามักจะเป็นการทุ่มเท
เวลาและพลังงานไปกับการ “ยื่นหมู” ให้มากขึ้นไปอีก
แต่แม้ people pleaser จะทุ่มเทมากขึ้น
ผลลัพธ์ที่ตามมาก็มักจะเป็นแบบเดิม
กล่าวคือ พวกเขาก็ยังรู้สึกว่าคนอื่นยังคงไม่ได้
รัก ยอมรับ เคารพ สนใจ แคร์พวกเขาอยู่ดี
นั่นเป็นเพราะว่า…
การยอมรับ ความเคารพ ความรัก ความสนใจ
ที่เราจะรู้สึก “เต็มอิ่ม” เวลาได้รับนั้น
มันไม่ใช่การยอมรับ ความเคารพ ความรัก ความสนใจ
ที่สามารถ “ซื้อ” หรือ “แลกเปลี่ยน” ด้วยการ “ยื่นหมู” ได้
การยอมรับ ความเคารพ ความรัก ความสนใจ
ที่เราจะรู้สึก “เต็มอิ่ม” เวลาได้รับนั้น
มันคือการยอมรับ ความเคารพ ความรัก ความสนใจ
ที่อีกฝ่ายมอบให้อย่างไม่มีเงื่อนไข
แน่นอนครับว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะมอบ
การยอมรับ ความเคารพ ความรัก ความสนใจ
ให้กับเราอย่างไม่มีเงื่อนไข
สำหรับหลายๆคน
คนที่มอบการยอมรับ ความเคารพ ความรัก ความสนใจ
ให้กับพวกเขาอย่างไม่มีเงื่อนไขคือคนในครอบครัว
แต่สำหรับ people pleaser จำนวนไม่น้อย
พวกเขาแทบจะไม่เจอกับคนที่พร้อมจะมอบ
การยอมรับ ความเคารพ ความรัก ความสนใจ
ให้พวกเขาอย่างไม่มีเงื่อนไขเลย
(ต่อให้จะเป็นคนในครอบครัวก็ตาม)
นี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พวกเขา
เริ่มต้นกลายเป็น people pleaser
เพราะประสบการณ์ชีวิตของพวกเขามันสอนพวกเขาว่า
มันไม่มีหรอกที่จะมีใครสักคนที่มามอบการยอมรับ
ความเคารพ ความรัก ความสนใจให้พวกเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข
จริงอยู่ครับว่า
การยอมรับ ความเคารพ ความรัก ความสนใจ
ที่ people pleaser ได้รับจากการที่พวกเขา “ยื่นหมู” ไปก่อนนั้น
มันอาจจะไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึก “เต็มอิ่ม” นัก
แต่ในสายตาของ people pleaser หลายๆคน
อย่างน้อย การ “กำขี้”
(ได้รับการยอมรับ ความเคารพ ความรัก ความสนใจแบบมีเงื่อนไข)
ก็ยังดีกว่าการ “กำตด”
(ไม่ได้รับการยอมรับ ความเคารพ ความรัก ความสนใจใดใด)
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ people pleaser หลายคนหมดหวัง
กับการที่ตัวเองจะได้รับการยอมรับ ความเคารพ ความรัก
ความสนใจอย่างไม่มีเงื่อนไขจากคนอื่นเป็นที่เรียบร้อย
พวกเขาหวังเพียงแค่การยอมรับ ความเคารพ ความรัก
ความสนใจอย่างมีเงื่อนไขจากคนอื่นเท่านั้น
แม้การยอมรับ ความเคารพ ความรัก ความสนใจอย่างมีเงื่อนไขนั้น
มันจะไม่ได้รู้สึก “เต็มอิ่ม” สำหรับพวกเขาเลยก็ตาม
ผมหวังว่าทั้งหมดที่ผมนำเสนอในวันนี้
จะช่วยให้ท่านผู้อ่านเข้าใจคนที่เป็น people pleaser ได้มากขึ้นนะครับ
(แม้เพียงนิดเดียวก็ยังดี)
ในโลกแห่งการทำงาน
องค์กรหลายแห่งจะมีสิ่งที่เรียกว่า monthly check-in
(แต่ละองค์กรอาจจะใช้ชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป)
มันคือช่วงเวลาที่หัวหน้าจะเรียกลูกน้อง
มาจับเข่าคุยกันแบบ 1-1 ว่า
ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
ประสบการณ์การทำงานของลูกน้องเป็นอย่างไรบ้าง
บรรยากาศการทำงานเป็นอย่างไร
เข้ากับเพื่อนร่วมงานได้มากน้อยแค่ไหน
อะไรคือสิ่งที่ดีอยู่แล้ว
อะไรคือสิ่งที่อยากให้ปรับเพิ่ม/ลด
ฯลฯ
ผมมองว่า ความรักความสัมพันธ์ก็ควรมี monthly check-in เช่นกัน
ยิ่งถ้าเป็นคู่รักที่มี lifestyle ที่ยุ่งทั้งคู่
(เช่น ยุ่งกับงาน ยุ่งกับการเลี้ยงลูกอ่อน)
monthly check-in ยิ่งมีความสำคัญ
เพราะเวลาที่ชีวิตของเราเต็มไปด้วยภาระ หน้าที่ ความรับผิดชอบ
สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นก็คือ เราจะเริ่มมีเวลาให้กันและกันน้อยลงๆๆ
ส่งผลให้ “ช่องว่าง” ระหว่างกันมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆๆ
หากสถานการณ์ความรักความสัมพันธ์ยังคง
ดำเนินต่อไปเช่นนี้โดยที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
มันเป็นไปได้มากๆเลยครับที่อยู่มาวันหนึ่ง
เราจะตื่นขึ้นมาและเราก็จะพบว่า
“ช่องว่าง” ดังกล่าวมันมีขนาดใหญ่จนทำให้
เรากับแฟนไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตร่วมกันได้อีกแล้ว
นี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมนำเสนอว่า
monthly check-in ไม่ควรจะเกิดขึ้นเพียงแค่ภายในที่ทำงานเท่านั้น
แต่มันยังควรจะเกิดขึ้นภายในความรักความสัมพันธ์อีกด้วย
แต่ทีนี้ หลายคนก็อาจจะสงสัยว่า
หากเราจะมี monthly check-in กับแฟนของเรา
เราจะใช้เวลาช่วงนั้นพูดคุยในเรื่องอะไรกันบ้าง
ผมขอนำเสนอ guideline คร่าวๆดังต่อไปนี้ครับ
.
.
.
# 1
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา
อะไรคือคำพูดหรือการกระทำของแฟน
ที่ทำให้เรารู้สึกขอบคุณและมีความสุขบ้าง
(ไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรที่ “ใหญ่โต” นะครับ
เพียงแค่เรื่อง “เล็กๆน้อยๆ” อย่างเช่น
การที่แฟนทำอาหารให้เราทานหรือการที่แฟนขับรถไปส่งเรา
ก็สามารถหยิบมาพูดคุยในช่วง monthly check-in ได้แล้วครับ)
# 2
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา
อะไรคือปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้น
ในความสัมพันธ์ระหว่างเรากับแฟนบ้าง
(เวลาที่พูดคุยกับแฟนในเรื่องนี้
พยายามพูดคุยด้วยท่าที “ฉัน+เธอ vs ปัญหา”
ไม่ใช่ท่าที “ฉัน vs เธอ” นะครับ)
# 3
ต่อไปในอนาคต
อะไรคือสิ่งที่เราอยากจะขอให้แฟนลด/เพิ่ม/ปรับบ้าง
ยกตัวอย่างเช่น
“ฉันอยากขอให้เธอพูดคุยกับฉันระหว่างที่เรากำลังกินข้าวโดยที่ไม่แตะโทรศัพท์มือถือเป็นเวลาอย่างน้อย 10 นาที”
“เวลาที่เราทะเลาะกัน ฉันอยากขอให้เราหยุดพูดและเดินไปพักสงบสติอารมณ์สักครึ่งชั่วโมงและค่อยกลับมาคุยกันต่อ”
เป็นต้น
.
.
.
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สิ่งที่ผมหยิบมานำเสนอในวันนี้
จะสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของ monthly check-in
(รวมถึงการนำ monthly check-in ไปปฏิบัติในเบื้องต้น) นะครับ
อ้างอิง
https://doi.org/10.1016/j.copsyc.2023.101687
https://doi.org/10.1177%2F19485506221137958
https://doi.org/10.5114%2Fcipp.2021.111981
พวกเราทุกคนล้วนมีเพื่อนที่เราเคยรู้จักในอดีต
(หรืออาจจะถึงขั้นเคยเป็นเพื่อนสนิทกันมากๆ)
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป
เราก็ติดต่อกับเพื่อนคนนั้นน้อยลงเรื่อยๆๆ
จนกระทั่งในปัจจุบัน เราไม่ได้ติดต่อเพื่อนคนนั้นอีกแล้ว
หลายคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์ทำนองนี้
มีความต้องการที่จะติดต่อกับเพื่อนคนนั้นอีกครั้ง
อันที่จริง พวกเขามีความมั่นใจด้วยว่า
หากพวกเขาติดต่อกับเพื่อนคนนั้นในตอนนี้
เพื่อนก็น่าจะรู้สึกยินดีที่พวกเขาติดต่อไปหา
แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังคงเลือกที่จะไม่ติดต่อไปหาเพื่อนอยู่ดี
เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนี้?
บางคนเลือกที่จะไม่ติดต่อไปหาเพื่อน
เพราะพวกเขาไม่อยากเสี่ยงที่จะ “หน้าแตก”
(ติดต่อไปหาเพื่อนและถูกเพื่อนปฏิเสธ)
บางคนเลือกที่จะไม่ติดต่อไปหาเพื่อน
เพราะพวกเขารู้สึกผิดที่ตัวเองหยุดติดต่อเพื่อนไปเสียนาน
บางคนเลือกที่จะไม่ติดต่อไปหาเพื่อน
เพราะพวกเขาเดาว่า ถ้าพวกเขาติดต่อไปหาเพื่อน
มันคงเป็นบรรยากาศที่อึดอัดและกระอักกระอ่วนใจเป็นแน่
บางคนเลือกที่จะไม่ติดต่อไปเพื่อน
เพราะพวกเขารู้สึกว่า แม้ครั้งหนึ่ง
พวกเขากับเพื่อนอาจจะสนิทสนมกัน
แต่ในตอนนี้ พวกเขากับเพื่อนได้กลาย
เป็นคนแปลกหน้าต่อกันไปเรียบร้อยแล้ว
เหตุผลเหล่านี้เป็นเหตุผลที่ทรงพลังมากเลยครับ
เพราะพวกมันสามารถทำให้หลายคนล้มเลิก
ความตั้งใจที่จะติดต่อกับเพื่อนเก่าได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม
แม้ว่าเหตุผลเหล่านี้จะทรงพลัง
แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า เหตุผลเหล่านี้
จะทำให้เรา “ศิโรราบ” และยอมล้มเลิก
ความตั้งใจที่จะติดต่อเพื่อนเก่าเสมอไป
จริงอยู่ครับ แม้ว่าการติดต่อเพื่อนเก่าจะเป็นเรื่องยาก
(เพราะเหตุผลในข้างต้น) แต่ผลการศึกษาพบว่า
หากเราค่อยๆเริ่มติดต่อไปหาเพื่อน
ที่ยังคงอยู่ในวงโคจรชีวิตของเราในตอนนี้อยู่
(เช่น เป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนเพื่อนไปกินข้าว
แม้ว่าปกติแล้ว คนที่ชวนจะเป็นเพื่อนมาโดยตลอด)
มันจะช่วยทำให้เรา “คุ้นชิน” กับการเป็นฝ่ายเริ่มต้นติดต่อหาคนอื่นมากขึ้น
และพอเราเริ่ม “คุ้นชิน” กับการเป็นฝ่าย
เริ่มต้นติดต่อหาคนอื่นมากๆเข้า
การที่เราจะเริ่มติดต่อไปหาเพื่อนเก่าที่ไม่ได้คุยกันมานาน
ก็จะเริ่มกลายเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
และพอถึงตอนนั้น
ต่อให้ในใจเราจะยังคงมีเหตุผล 3-4 ข้อในข้างต้นอยู่
เหตุผลเหล่านี้ก็จะไม่ทำให้เรา “ศิโรราบ”
และยอมล้มเลิกความตั้งใจที่จะติดต่อเพื่อนเก่าได้อีกแล้วครับ
แหล่งอ้างอิง
หลายคนคงจะคุ้นเคยกันดีกับคำว่า
“ผู้ชายกลัวเมีย”
มันอาจจะเป็นคำที่พูดกันขำๆเล่นๆ
แต่สำหรับผู้ชายจำนวนไม่น้อย
พวกเขามีความ “กลัวเมีย” จริงๆครับ
ไม่ว่าจะเป็นความกลัวว่าแฟนจะเข้ามาบงการชีวิต
หรือความกลัวว่าตัวเองจะ “ดีไม่พอ” ในสายตาแฟน
หรือความกลัวว่าแฟนจะยึด “อิสรภาพ” ในการใช้ชีวิตไป
ฯลฯ
ทำไมมันจึงเป็นเช่นนี้ได้?
ความเป็นไปได้อย่างหนึ่งก็คือ
ตอนที่ผู้ชายเหล่านี้ยังเป็นเด็กน้อย
คนที่เลี้ยงดูพวกเขามักจะเป็นผู้หญิง (เช่น แม่ ย่า ยาย)
และเนื่องจากตอนที่พวกเขายังเป็นเด็กน้อยนั้น
พวกเขาอยู่ในสภาพที่ “ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้” โดยสมบูรณ์
การที่พวกเขาจะมีชีวิตรอดหรือไม่นั้น
จึงขึ้นอยู่กับผู้หญิงที่เลี้ยงดูพวกเขาเหล่านี้เป็นหลัก
ฉะนั้น เด็กน้อยเหล่านี้จึงจำเป็นต้องเรียนรู้
ที่จะปฏิบัติตัวให้ “ถูกใจ” ผู้หญิงที่เลี้ยงดูพวกเขา
หรืออย่างน้อยที่สุด
หากพวกเขาไม่สามารถทำให้
ผู้หญิงที่เลี้ยงดูพวกเขา “ถูกใจ” ได้
พวกเขาก็ต้องพยายามระวัง
ไม่ให้ตัวเองทำให้ผู้หญิงที่เลี้ยงดูพวกเขา “ไม่พอใจ”
ส่งผลให้เด็กน้อยเหล่านี้เรียนรู้
ที่จะคอยสังเกตดู “สัญญาณ” (เช่น น้ำเสียง สีหน้า)
ของผู้หญิงที่เลี้ยงดูพวกเขาอยู่เป็นระยะๆ
เมื่อไหร่ก็ตามที่ “สัญญาณ” ส่อแววไม่ค่อยดี
เด็กน้อยก็ต้องรีบปรับพฤติกรรมของตัวเอง
ให้ “ถูกใจ” ผู้หญิงที่เลี้ยงดูพวกเขาให้เร็วที่สุด
ประสบการณ์ที่เด็กผู้ชายเหล่านี้มีกับผู้หญิงที่เลี้ยงดูพวกเขา
(ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่พวกเขา “ไร้อำนาจ”
ในขณะที่ผู้หญิงที่เลี้ยงดูพวกเขา “มีอำนาจ”)
จึงอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่หล่อหลอมให้เด็กผู้ชายเหล่านี้
เติบโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีความกลัว เกรงใจ อยากตามใจ
กับผู้หญิงที่พวกเขาเจอในชีวิตนั่นเองครับ
แหล่งอ้างอิง
https://doi.org/10.1111/jomf.12133
https://doi.org/10.1016/S0002-7138(09)62273-1
O'Neill,J. (2014) Men's Gender Role Conflict. American Psychological Association.
Weiss, A.G. (2021). Hidden in Plain Sight: How Men's Fears of Women Shape Their Intimate Relationships. Lasting Impact Press.
Zinczenko, D., & Spiker, T. (2007). Men, Love & Sex. Rodale
เวลาที่เราใช้ชีวิตอยู่ใกล้ๆกับคนที่ happy มีความสุข เราก็มีแนวโน้มที่จะ happy มีความสุขมากขึ้นไปด้วย
ในทางกลับกัน เวลาที่เราใช้ชีวิตอยู่ใกล้ๆกับคนที่อมทุกข์ เราก็มีแนวโน้มที่จะทุกข์ใจง่ายขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
แต่ทีนี้ หากเราเป็นคนที่อมทุกข์ และเราคบกับแฟนที่เป็นคน happy มีความสุข
มันจะเกิดอะไรขึ้น?
ออร่าความอมทุกข์ของเราจะมีผลกับแฟนมากกว่า หรือออร่าความ happy ของแฟนจะมีผลกับเรามากกว่า?
สิ่งที่นักจิตวิทยาค้นพบคือออร่าความอมทุกข์ของเราจะมีผลกับแฟนมากกว่า เมื่อเทียบกับออร่าความ happy ของแฟนครับ
นั่นเป็นเพราะว่า โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์เรา “ไว” กับความทุกข์มากกว่าความสุข (นักจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า negativity bias)
ด้วยเหตุนี้ ความทุกข์ของเราจึง “กระจายตัว” ไปสู่แฟนได้ง่ายกว่า เมื่อเทียบกับการที่ความสุขของแฟนจะ “กระจายตัว” มาสู่ตัวเรา
คำถามสำคัญก็คือ
มีอะไรที่เราสามารถทำได้เพื่อที่จะป้องกันการ “กระจายตัว” ของความทุกข์ภายในความสัมพันธ์ไหม?
คำตอบก็คือ…มีครับ
.
.
.
.
.
.
สิ่งแรกที่เราสามารถทำได้คือการจำกัดเวลาในการพูดคุยถึงเรื่องแย่ๆในแต่ละวันกับแฟน
ยกตัวอย่างเช่น
เวลาที่เราอยาก “ระบาย” กับแฟนในเรื่องที่เรารู้สึกไม่พอใจคนในที่ทำงาน เราอาจจะกำหนดไว้ว่า เราจะ “ระบาย” เรื่องนี้กับแฟนเป็นระยะเวลาไม่เกิน 20 นาทีเท่านั้น
หลังจากที่เรา “ระบาย” เรื่องนี้กับแฟนครบ 20 นาทีแล้ว ต่อให้ใจเราจะอยาก “ระบาย” กับแฟนต่อ แต่เราก็จะเก็บมันไว้ในใจ (เพราะมันหมด “โควตา” ของวันนี้แล้ว)
และถ้าเราต้องการ เราค่อยหยิบเรื่องนี้มา “ระบาย” กับแฟนต่อในวันพรุ่งนี้อีก 20 นาทีแทน
เป็นต้น
นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้คือการพูดถึงสิ่งดีๆกับแฟนในทุกๆวัน (ต่อให้สิ่งดีๆที่ว่านั้นมันจะดู “เล็กน้อย” แค่ไหนก็ตาม)
ยกตัวอย่างเช่น
“ขอบคุณนะที่ขับรถมาหาฉัน”
“ฉันเห็นเธอออกกำลังกายสม่ำเสมอแบบนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกอยากจะฮึดออกกำลังกายให้ได้แบบเธอบ้าง”
“ฉันชอบที่เธอคอยถามฉันว่า ในแต่ละวัน ฉันเป็นยังไงบ้าง”
เป็นต้น
ยิ่งไปกว่านั้น อีกสิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้คือการหมั่นวางแผนที่จะทำกิจกรรมที่น่าสนใจ สนุกสนาน และผ่อนคลายร่วมกันในอนาคตอย่างสม่ำเสมอ
ยกตัวอย่างเช่น
ไปดูหนังด้วยกัน
ไปเดินป่าด้วยกัน
ไปกินอาหารร้านเด็ดด้วยกัน
ไปดูคอนเสิร์ตด้วยกัน
ไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ด้วยกัน
เป็นต้น
.
.
.
.
.
.
ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างของสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อป้องกันการ “กระจายตัว” ของความทุกข์ภายในความสัมพันธ์ที่เรามีกับแฟนของเราครับ
แหล่งอ้างอิง
“ขอให้ครองคู่กันไปจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร”
นี่คือหนึ่งในคำอวยพรที่เราได้ยินตามงานแต่งงานบ่อยที่สุด
อย่างไรก็ตาม หากเรามองดูสถานการณ์ความเป็นจริงที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เราจะพบว่าคู่รักมีการหย่าร้างกันมากขึ้นเรื่อยๆๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงที่อายุของพวกเขาเริ่มเข้าสู่เลข 5
เกิดอะไรขึ้นกับความรักความสัมพันธ์ของคนกลุ่มนี้ (คู่สามีภรรยาในวัย 50)? อะไรคือสาเหตุที่ทำให้คนกลุ่มนี้หย่าร้างกันเต็มไปหมดในช่วงวัยนี้?
นักจิตวิทยาพบว่า มันมีอยู่หลายปัจจัยเหมือนกันครับ ที่ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์การหย่าร้างในวัย 50 มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในยุคปัจจุบัน
.
.
.
.
.
.
# 1 พวกเราคาดหวังจากคู่สมรสของเรามากกว่าสมัยก่อน
สมัยก่อน เราคาดหวังให้สามีของเราเป็นสามี เราคาดหวังให้ภรรยาของเราเป็นภรรยา
แต่ทุกวันนี้ เราคาดหวังให้สามี/ภรรยาของเรา เป็นทั้งเพื่อนสนิท เป็นทั้งนักจิตวิทยา เป็นทั้งพ่อบ้านแม่บ้าน เป็นทั้งที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นทั้งคู่รักที่เต็มไปด้วย passion เป็นทั้งเพื่อนออกกำลังกาย ฯลฯ
ซึ่งความคาดหวังที่เรามีทุกวันนี้ ถือเป็นความคาดหวังที่คนหนึ่งคนยากที่จะเติมเต็มได้อย่างสมบูรณ์
ส่งผลให้พวกเราผิดหวังและไม่พึงพอใจกับความรักความสัมพันธ์ที่เรามีอยู่ และทำให้เรามีแนวโน้มที่จะหย่าร้างกันมากขึ้น
# 2 ในช่วงอายุ 50 ลูกๆก็เริ่มโตขึ้นแล้ว
ฉะนั้น เหตุผลสำคัญของการ “ทนอยู่” ในความรักความสัมพันธ์ต่อไป (ซึ่งก็คือการ “อยู่เพื่อลูก”) จึงไม่มีอีกแล้ว
ทำให้คู่รักจำนวนมากตัดสินใจที่หย่าร้างได้ง่ายขึ้น
# 3 คนเราทุกวันนี้อายุยืนมากกว่าคนสมัยก่อน
ฉะนั้น หากเราอยู่ในความรักความสัมพันธ์ที่เราไม่โอเค
สมัยก่อน เราก็อาจจะยังบอกตัวเองได้ว่า “เอาเถอะ! ทนๆไป! เดี๋ยวก็ตายจากกันแล้วแหละ!”
แต่ทุกวันนี้ การบอกตัวเองให้ “ทนๆไป” จึงเริ่มเป็นสิ่งที่ทำได้ยากขึ้น
# 4 ช่วงวัย 50 คือช่วงเวลาที่หลายๆคนจะเริ่มมีปัญหาสุขภาพอย่างชัดเจน
ซึ่งความเครียดที่เกิดจากปัญหาสุขภาพนี้ ก็สามารถ “กระเซ็น” เข้ามาในความสัมพันธ์
ส่งผลให้คู่รักมีแนวโน้มที่จะทะเลาะกันมากขึ้น
และนำมาสู่การเลิกรากันได้ในที่สุด
# 5 คนวัย 50 (หรือมากกว่า) เริ่มที่จะเกษียณอายุการทำงาน
ก่อนหน้านี้ ต่อให้คู่รักจะมี “สิ่งที่เข้ากันไม่ได้”
แต่พวกเขาก็ยังคงสามารถต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำงานระหว่างวันได้ พวกเขาจึงยังไม่ได้เจอกับ “สิ่งที่เข้ากันไม่ได้” ของกันและกันเท่าไหร่นัก
แต่พอพวกเขาเริ่มเกษียณอายุการทำงาน พวกเขาก็จะไม่มีงานเป็น “หลุมหลบภัย” อีกต่อไป
ส่งผลให้พวกเขาต้องหันมาเผชิญหน้ากับ “สิ่งที่เข้ากันไม่ได้” ของกันและกันมากขึ้น
และสำหรับคู่รักจำนวนไม่น้อย พวกเขาพบว่า แม้พวกเขาจะพยายามแก้ไขและปรับปรุง “สิ่งที่เข้ากันไม่ได้” นี้อยู่พักใหญ่ แต่ในที่สุดแล้ว พวกเขาก็ไปต่อกันไม่ไหวจริงๆ
ส่งผลให้พวกเขาตัดสินใจหย่าร้างครับ
# 6 การหย่าร้างไม่ใช่สิ่งที่คนในสังคม “เบือนหน้าหนี” มากเท่าสมัยก่อน
ถ้าเป็นสมัยก่อน เราจะพบว่ามีคู่รักจำนวนไม่น้อยที่เลือกที่จะ “ทนอยู่กันไป” เพราะคำนึงในเรื่องของ “หน้าตาทางสังคม”
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังๆนี้ ค่านิยมของสังคมก็เริ่มเปลี่ยนไป ผู้คนให้การยอมรับกับคนที่ผ่านการหย่าร้างมามากขึ้น
ส่งผลให้คู่รักเลือกที่จะ “ทนอยู่กันไป” น้อยลงตามลำดับครับ
.
.
.
.
.
.
ท่านผู้อ่านคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ…กับสาเหตุทั้ง 6 ข้อที่ผมนำเสนอไว้ในข้างต้น? นอกจาก 6 ข้อนี้แล้ว ท่านผู้อ่านมองว่ามีสาเหตุข้ออื่นที่อยากจะหยิบมาแบ่งปันเพิ่มเติมไหมครับ?
ท่านผู้อ่านสามารถแบ่งปันความคิดเห็นในเรื่องนี้กันได้…ผ่านช่อง comment ด้านล่างเลยนะครับ
แหล่งอ้างอิง
https://doi.org/10.1093/geronb/gbw164
https://doi.org/10.1093/geronb/gbw164
https://doi.org/10.1093/geronb/gbac057
https://www.apa.org/.../11/navigating-late-in-life-divorce
Perel, E. (2017). The state of affairs : Rethinking Infidelity. Bharper.
หนึ่งในประติมากรรมชิ้นเอกของโลก คือ ผลงานที่ชื่อว่า David ของ Michelangelo
ครั้งหนึ่ง มีคนเคยถาม Michelangelo ว่า อะไรคือเคล็ดลับที่ทำให้ Michelangelo สร้างสรรค์ผลงานที่สุดยอดอย่าง David ออกมาได้
คำตอบของ Michelangelo คือ “เคล็ดลับของผมนั้นเรียบง่ายมาก ผมเพียงแค่กำจัดส่วนที่ไม่ใช่เดวิดออกไปจากหินอ่อนก้อนนั้นเท่านั้น”
เรื่องการสานสัมพันธ์กับคนอื่นผ่านบทสนทนาก็เช่นกันครับ
หากเราต้องการสานสัมพันธ์กับใครสักคนผ่านบทสนทนาที่เรามีกับเขานั้น การรู้ว่าสิ่งใดคือสิ่งที่ “ไม่ควรทำ” ถือเป็นอะไรที่มีความสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียวครับ
สำหรับวันนี้ ผมอยากจะนำเสนอหนึ่งสิ่งที่ “ไม่ควรทำ” หากเราต้องการจะสานสัมพันธ์กับใครสักคน
สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมเรียกเล่นๆส่วนตัวว่า การพูด “เกทับ” คู่สนทนา
ยกตัวอย่างเช่น
น้อง: ช่วงนี้หนูหนักมากเลย พี่ – ไม่ว่าหนูจะทำอะไร ใจหนูก็จะรู้สึกกังวลกับวิทยานิพนธ์ตลอดเลย
พี่: โอ้ย! สิ่งที่น้องเจออยู่นี้ พี่ยังถือว่าจิ๊บๆนะ – พี่จำได้ว่า ตอนที่พี่ยังเรียนปริญญาโทอยู่น่ะ นอกจากพี่จะปวดหัวกับตัววิทยานิพนธ์ของพี่แล้ว พี่ยังต้องปวดหัวกับอาจารย์ที่ปรึกษาของพี่อีกด้วย!
เป็นต้น
คำพูดของคนที่เป็น “พี่” ในตัวอย่างข้างต้น แสดงให้เห็นถึงการพูด “เกทับ” คนที่เป็น “น้อง” อย่างชัดเจนเลยทีเดียว (“เกทับ” ว่าความทุกข์ใจของ “น้อง” ไม่ได้หนักหน่วงหรือสาหัสหรือเข้มข้นเท่ากับความทุกข์ใจที่ “พี่” เจอมา)
ในแง่หนึ่ง การพูด “เกทับ” นี้อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจากเจตนาที่ไม่ดีก็ได้ครับ
จริงๆแล้ว คนที่พูด “เกทับ” อาจจะมีเจตนาที่ต้องการแสดงให้อีกฝ่ายในบทสนทนาเห็นว่า “ฉันเข้าใจเธอนะ เพราะฉันเองก็เคยเจออะไรที่เธอเจอมาเหมือนกัน”
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่พูด “เกทับ” เขาอาจจะมีเจตนาที่ต้องการปลอบประโลมใจของอีกฝ่ายในบทสนทนา…ก็เป็นได้ (ทำนองเดียวกับที่หลายคนปลอบประโลมคนที่กำลังทุกข์ใจด้วยคำพูดทำนองว่า “เอาน่า! โลกนี้ยังมีคนอื่นที่เจอกับความทุกข์ทรมานมากกว่าเธออีกนะ!”)
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคนที่พูด “เกทับ” จะมีเจตนาดีหรือไม่ดีอย่างไรก็ตาม การพูด “เกทับ” มักจะนำมาสู่ผลลัพธ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
นั่นเป็นเพราะว่า ประการแรก เวลาที่เราพูด “เกทับ” มันเป็นการ “ขยับ spotlight” จากคู่สนทนาของเรามาอยู่ที่ตัวเรา (เช่น จากเดิมที่คุยกันเรื่องความกังวลใจในเรื่องวิทยานิพนธ์ของคู่สนทนา กลายเป็นมาคุยกันในเรื่องความกังวลใจเรื่องประสบการณ์เรียนปริญญาโทของเรา)
ประการต่อมา เวลาที่เราพูด “เกทับ” มันเหมือนกับเป็นการ “ดูเบา” หรือ “ลดทอนความสำคัญ” ในสิ่งที่คู่สนทนาของเรากำลังพูดอยู่ (เช่น “ดูเบา” ว่าความกังวลใจของคู่สนทนามันไม่ได้หนักหน่วงมากอย่างที่คู่สนทนากำลังสื่อสารอยู่)
ด้วยเหตุนี้เอง หากเราต้องการที่จะสานสัมพันธ์กับคู่สนทนาของเรา การพูด “เกทับ” คือสิ่งหนึ่งที่เรา “ไม่ควรทำ” ครับ
หนึ่งใน “คำศัพท์ทางจิตวิทยา”
ที่หลายคนหยิบมาพูดถึงบ่อยๆในช่วงหลังนี้
คือคำว่า gaslight
เวลาที่เรา gaslight ใครสักคน นั่นหมายความว่า
เรากำลัง “ชักใย” คนๆนั้นและทำให้เขาเกิดความสับสนว่าอะไรคือ “ความเป็นจริง” ที่เกิดขึ้นกันแน่
ยกตัวอย่างเช่น
แฟนเห็นว่าเราส่งข้อความคุยกับผู้หญิงคนอื่น
ในลักษณะที่ดูเหมือนจะ “เกินเลย”
แฟนก็เลยถามขึ้นมาว่า
“นี่เธอนอกใจฉันหรือ?”
ตอนนั้นเองที่เราปฏิเสธ พร้อมกับใช้คำพูดต่างๆนานาเพื่อที่จะหว่านล้อมให้แฟนเชื่อว่าตัวแฟน “คิดมากไปเอง”
และในที่สุดแล้ว
ความพยายามในการหว่านล้อมของเราก็สำเร็จ
สิ่งที่เราทำในตัวอย่างข้างต้นนี้
คือตัวอย่างหนึ่งของการ gaslight คนอื่น (เช่น แฟน) ครับ
หลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า“คนที่เขา gaslight คนอื่นได้นั้น…เขาทำยังไงกันนะ?”
จากการสังเกตเห็นของผม
ผมพบว่าคนที่ gaslight คนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขามักจะใช้ “กลยุทธ์” ดังต่อไปนี้ครับ
.
.
.
.
.
# 1 เริ่มต้นความสัมพันธ์ด้วยการแสดงความเข้าอกเข้าใจในตัว “เหยื่อ”
คนที่ gaslight คนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มักจะเริ่มต้นสานความสัมพันธ์กับ “เหยื่อ”
ด้วยการสังเกต “เหยื่อ” อย่างใกล้ชิดว่า
อะไรคือสิ่งที่ “เหยื่อ” ต้องการ
อะไรคือสิ่งที่ “เหยื่อ” รู้สึก
จากนั้น
เขาก็จะพูดความต้องการและความรู้สึก
ที่อยู่ในใจ “เหยื่อ” ให้ “เหยื่อ” ได้ยิน
พอ “เหยื่อ” เจอแบบนี้
“เหยื่อ” ก็มีแนวโน้มที่จะเกิดความคิดขึ้นมาในใจว่า
“คนๆนี้เขาดีกับฉันจัง คนๆนี้เขารู้ใจฉันจัง คนๆนี้เขาใส่ใจฉันจัง”
ส่งผลให้ “เหยื่อ” ค่อยๆรู้สึกไว้วางใจ
ในตัวคนที่มุ่งหมายจะ gaslight มากขึ้นเรื่อยๆๆ
# 2 แยกตัว “เหยื่อ” ออกมาจากคนรอบตัว
พอ “เหยื่อ” รู้สึกไว้วางใจในตัวคนที่มุ่งหมายจะ gaslight มากขึ้น
“เหยื่อ” ก็มีแนวโน้มที่จะพึ่งพาคนที่มุ่งหมายจะ gaslight มากขึ้น
ในช่วงเวลานั้นเอง
คนที่มุ่งหมายจะ gaslight ก็จะค่อยๆดึงตัว “เหยื่อ”
ออกมาจากคนอื่นๆในชีวิตของ “เหยื่อ”
(เช่น ครอบครัวและเพื่อนของ “เหยื่อ”)
การทำเช่นนี้จะทำให้ “เหยื่อ” อยู่ในสภาวะที่ “ไม่มีใคร” ส่งผลให้ “เหยื่อ” ยิ่งมีแนวโน้มที่จะพึ่งพาคนที่มุ่งหมายจะ gaslight มากขึ้นไปอีก
ยิ่งไปกว่านั้น
การที่ “เหยื่อ” ตกอยู่ในสภาวะ “ไม่มีใคร”
ยิ่งทำให้การ gaslight ทำได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
(นั่นเป็นเพราะว่า เวลาที่ “เหยื่อ” เขา “ไม่มีใคร”
นั่นก็เท่ากับว่ามันจะไม่มีคำพูดของคนอื่น
มา “หักล้าง” คำพูดของคนที่มุ่งหมายจะ gaslight ได้)
# 3 บั่นทอนความมั่นใจในตัวเองของ “เหยื่อ”
เมื่อ “เหยื่อ” มีความไว้วางใจในตัวคนที่มุ่งหมายจะ gaslight
บวกกับ “เหยื่อ” ถูกแยกตัวออกมาอยู่ในจุดที่ “โดดเดี่ยว/ไม่มีใคร” แล้ว
คนที่มุ่งหมายจะ gaslight ก็จะเริ่มบั่นทอนความมั่นใจในตัวเองของ “เหยื่อ”
(เช่น พูดในเชิง “ขยี้” สิ่งที่เป็นข้อผิดพลาด/ข้อด้อยของ “เหยื่อ” เป็นระยะๆ)
ยิ่งความมั่นใจในตัวเองของ “เหยื่อ” ลดลงเท่าไหร่
“เหยื่อ” ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะพึ่งพาคนอื่นมากขึ้นเท่านั้น
แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้
คนที่มุ่งหมายจะ gaslight เขาได้ทำการ
แยกตัว “เหยื่อ” ออกจากคนอื่นๆในชีวิตแล้ว
นั่นจึงหมายความว่า “คนอื่น” ที่ “เหยื่อ” จะพึ่งพา
จึงหนีไม่พ้นคนที่มุ่งหมายจะ gaslight แต่เพียงคนเดียว
ตอนนั้นเองครับ
คนที่มุ่งหมายจะ gaslight ก็จะสามารถ
ดำเนินการ gaslight “เหยื่อ” ได้อย่างง่ายดาย
.
.
.
.
.
.
แน่นอนครับว่า
สิ่งที่ผมนำมาแบ่งปันในบทความนี้
ผมไม่มีเจตนาสนับสนุนให้ท่านผู้อ่านไป gaslight คนอื่น
อย่างไรก็ตาม เจตนาของผมก็คือ…
ผมหวังว่าการหยิบ “กลยุทธ์” ของคน
ที่มุ่งหมายจะ gaslight คนอื่นมา “ตีแผ่”
จะช่วยให้ท่านผู้อ่าน “รู้เท่าทัน” พวกเขาเหล่านี้
และป้องกันไม่ให้ท่านผู้อ่าน (รวมทั้งคนใกล้ตัว)
ตกเป็น “เหยื่อ” ของการ gaslight ได้ครับ
หลายคนที่ชอบทำอาหารเองที่บ้าน
อาจจะเคยเจอกับ “อุบัติเหตุ”
ที่น้ำมันที่ใช้ในการทำอาหาร
มีอุณหภูมิร้อนมากเกินไป
จนทำให้เกิดเปลวไฟลุกท่วมขึ้นมา
สำหรับสถานการณ์ทำนองนี้
ตัวผม (ซึ่งไม่ค่อยประสีประสาในเรื่องการทำอาหาร)
ก็คงจะพยายาม “ดับไฟ” ด้วยการหาน้ำเปล่ามาราด
อย่างไรก็ตาม
แม้การเอาน้ำเปล่ามาราด
จะดูเป็นการตัดสินใจที่ “สมเหตุสมผล”
แต่ในความเป็นจริงแล้ว
หากผมพยายาม “ดับไฟ” ด้วยการหาน้ำเปล่ามาราดในกรณีแบบนี้
แทนที่ไฟจะดับลง มันกลับจะยิ่งลุกโชนมากขึ้นเข้าอีก!
เช่นเดียวกันครับ…
เวลาที่เราเจอกับเหตุการณ์บางอย่างในชีวิต
ที่กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกทางลบในใจเรา
(เช่น จับได้ว่าแฟนนอกใจ ถูกเพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจเลื่อยขาเก้าอี้)
พวกเราหลายคนจะเกิดความคิดขึ้นมาในใจทำนองนี้
“ฉันไม่ชอบที่ตัวเองรู้สึกแบบนี้เลย”
“ฉันอยากให้ตัวเองรีบ move on จากความรู้สึกแย่ๆให้ได้เร็วๆ”
“ฉันควรจะต้องจัดการกับใจตัวเองให้ดีกว่านี้นะ”
ฯลฯ
ซึ่งความคิดเหล่านี้…เป็นความคิดที่มี “เจตนาดี” ครับ
กล่าวคือ ความคิดเหล่านี้มันกระตุ้นให้เรา
พยายามหาหนทางที่จะจัดการให้เหตุการณ์ที่ “ไม่โอเค”
ให้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม
เช่นเดียวกันกรณีที่ผมเอาน้ำเปล่าราด
เพื่อหวังที่จะ “ดับไฟ” ในตัวอย่างข้างต้น
การมี “เจตนาที่ดี” ไม่ได้หมายความว่า
มันจะนำมาสู่ “ผลลัพธ์ที่ดี” เสมอไป
เพราะสำหรับหลายๆคน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ…
นอกจากความคิด “เจตนาดี” เหล่านี้
จะไม่ได้ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นจากเหตุการณ์ที่ “ไม่โอเค” แล้ว
(เช่น จับได้ว่าแฟนนอกใจ ถูกเพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจเลื่อยขาเก้าอี้)
ความคิด “เจตนาดี” เหล่านี้ยังสร้างความรู้สึกกดดันบีบคั้นในใจเพิ่มเติมอีกด้วย!
มันจึงกลายเป็นว่า แทนที่เราจะทุกข์ใจ
เพราะเหตุการณ์ที่ “ไม่โอเค” เพียงอย่างเดียว
เรายังทุกข์ใจอีกจังหวะหนึ่งเพราะความรู้สึกกดดัน
ที่ผูกโยงเข้ากับความคิด “เจตนาดี” เหล่านี้เข้าไปอีก!
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงอยากนำเสนอว่า
เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเจอเหตุการณ์ที่ “ไม่โอเค”
เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกทุกข์ใจ
แทนที่เราจะ “กดดันตัวเอง” ให้รีบ move on จากความทุกข์ใจเร็วๆ
เราหันมา “เปิดพื้นที่” ให้ใจของเราได้มีโอกาสรู้สึกทุกข์ใจบ้างดีกว่าครับ
อย่างน้อยที่สุด
เราก็จะได้ทุกข์ใจกับเหตุการณ์ที่ “ไม่โอเค”
ในชีวิตเราเพียงอย่างเดียว
โดยที่ไม่ต้องทุกข์ใจกับความรู้สึกกดดัน
เพราะความคิด “เจตนาดี” ของเราเพิ่มเติมครับ
หลายคนมักจะมีความรู้สึกกดดันอยู่ในใจตลอดเวลาว่า
“ไม่ว่าชีวิตฉันจะเจอกับอะไรก็ตาม ฉันจะต้องมีคำตอบในทุกๆเรื่อง!”
.
.
.
อย่างไรก็ตาม
เนื่องจากเราทุกคนล้วนเป็นมนุษย์
การที่เราจะรู้ในทุกๆเรื่อง
มีคำตอบในทุกๆเรื่อง
แก้ไขปัญหาได้ในทุกๆเรื่องนั้น
มันย่อมเป็นไปไม่ได้
.
.
.
ด้วยเหตุนี้เอง
หลายคนที่ใช้ชีวิตโดยยึดถือ “กฎการใช้ชีวิต” ในข้างต้น
(“ไม่ว่าชีวิตฉันจะเจอกับอะไรก็ตาม ฉันจะต้องมีคำตอบในทุกๆเรื่อง!”)
จึงไม่มีวันที่จะเป็นอิสระจากความรู้สึกกดดันในใจได้
.
.
.
ยกเว้นเสียแต่ว่า
พวกเขาจะทำในสิ่งที่ “เป็นไปไม่ได้”
ด้วยการมีคำตอบสำหรับทุกๆเรื่องในชีวิตของพวกเขาได้จริงๆ!
.
.
.
ซึ่งหนทางหนึ่งที่อาจจะทำให้เรามีคำตอบ
สำหรับทุกๆเรื่องในชีวิตของเราได้
คือการที่เราต้องบีบชีวิตของเราให้แคบลง
ด้วยการไม่พาตัวเองไปเจอสิ่งใหม่ๆ ไปพบปะผู้คนใหม่ๆ ไปทำสิ่งใหม่ๆ
.
.
.
หรือถ้าจะพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ
หากเราต้องการที่จะมีคำตอบสำหรับทุกๆเรื่องในชีวิตของเราได้จริงๆ
เราจะต้องไม่พาตัวเองออกจาก comfort zone
เราจะต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใน comfort zone เท่านั้น
.
.
.
อย่างไรก็ตาม
การใช้ชีวิตอยู่ภายใน comfort zone เพียงอย่างเดียว
มันหมายถึงการที่เราตัดโอกาสที่จะเกิดการเรียนรู้และเติบโตออกทั้งหมด
.
.
.
มันจึงอาจกล่าวได้ว่า
โอกาสที่จะได้เรียนรู้และเติบโต
คือราคาที่เราต้องจ่ายเพื่อหลีกหนีจากความรู้สึกกดดัน
ที่เราไม่สามารถมีคำตอบได้กับทุกๆเรื่องของชีวิต
.
.
.
ส่วนคำถามที่ว่า
ราคาที่เราต้องจ่ายนี้
มันคุ้มค่าที่จะจ่ายหรือไม่นั้น
.
.
.
มันคือคำถามที่เราแต่ละคน
จะต้องหาคำตอบสำหรับตัวเองกันเอาเองครับ
หลายคนมีแฟนที่คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกอิจฉา
เพราะแฟนของพวกเขาเหล่านี้เป็นผู้ฟังที่ดีมากๆ
อย่างไรก็ตาม
ปัญหาอย่างหนึ่งก็คือ
แฟนของพวกเป็นผู้ฟังที่ดีมากเสียจนแทบจะไม่ค่อยแบ่งปัน
เรื่องราว ความคิด และความรู้สึกของตัวเอง
กับพวกเขาเลยแม้แต่นิดเดียว!
ฉะนั้น
ความสัมพันธ์ที่แลดูน่าอิจฉา (ในสายตาของคนอื่น) นี้
จึงเป็นความสัมพันธ์ที่พวกเขาแทบจะไม่รู้จักและแทบจะไม่รู้สึก connect
กับแฟนของพวกเขาเลยเช่นกัน!
แน่นอนครับว่า
พวกเขาเองก็พยายามที่จะเชื้อเชิญให้แฟนของพวกเขา
แบ่งปันเรื่องราว ความคิด และความรู้สึกของตัวเองกับพวกเขามากขึ้น
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามขนาดไหน
สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นก็คือ
แฟนของพวกเขาก็ยังดูจะไม่ค่อยแบ่งปัน
เรื่องราว ความคิด และความรู้สึกของตัวเองกับพวกเขาอยู่ดี!
ด้วยเหตุนี้
พวกเขาหลายคนจึงเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า
“ทำไมกันนะ?
ทำไมการแชร์เรื่องราว ความคิด ความรู้สึกของตัวเอง
มันถึงยากสำหรับแฟนฉันจังเลย?”
หนึ่งในคำตอบที่กำปั้นทุบดินที่สุด (และจริงที่สุด) สำหรับคำถามนี้ก็คือ
เพราะแฟนของพวกเขาเหล่านี้ไม่ค่อยได้มีโอกาส
ที่จะแบ่งปันเรื่องราว ความคิด ความรู้สึกของตัวเองกับคนอื่นมากนัก
ยกตัวอย่างเช่น
แฟนของพวกเขาอาจจะเติบโตมาในครอบครัว
ที่ไม่สนับสนุนการแสดงอารมณ์ความรู้สึก (เช่น “หยุดร้องไห้เดี๋ยวนี้!”)
หรือเขาอาจจะโตมาในฐานะ
คนที่คอย support ใจคนอื่นๆในครอบครัว (เช่น แม่ น้อง)
จนไม่ค่อยมีจังหวะได้สนใจกับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง
เป็นต้น
นี่จึงอาจเป็นสาเหตุสำคัญข้อหนึ่ง
ที่ทำให้แฟนของพวกเขาไม่คุ้นชินกับการรับรู้ พูดถึง และแบ่งปัน
เรื่องราว ความคิด และความรู้สึกของตัวเองกับคนอื่น (รวมทั้งแฟนของตัวเอง) มากนัก
อย่างไรก็ตาม
ข่าวดีก็คือ
การรับรู้ พูดถึง และแบ่งปันเรื่องราว ความคิด และความรู้สึกของตัวเอง
เป็นสิ่งที่สามารถฝึกฝนกันได้
ฉะนั้น
หากพวกเขาคอยสนับสนุนให้แฟนของพวกเขา
แบ่งปันเรื่องราว ความคิด และความรู้สึกของตัวเองไปเรื่อยๆ
(ยกตัวอย่างเช่น
คอยถามความคิดเห็นของแฟน
คอยตั้งใจรับฟังเวลาที่แฟนแบ่งปันความรู้สึกของตัวเอง
คอยบอกให้แฟนรู้ว่าเราชอบเวลาที่แฟนแบ่งปันเรื่องราวของตัวเอง
เป็นต้น)
แฟนของพวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะแบ่งปัน
เรื่องราว ความคิด และความรู้สึกของตัวเองมากขึ้นทีละนิดๆๆเช่นกันครับ
“ถ้าเราอยากมีความรักที่ดี จงมองหาคู่รักที่ดี”
นี่คือความเชื่อที่หลายคนยึดถือ
อย่างไรก็ตาม
การมองหาคู่รักที่ดี
ไม่ใช่เรื่องง่าย
สาเหตุส่วนหนึ่งก็เพราะว่า
เวลาที่เราตัดสินว่าคนๆหนึ่ง
มีศักยภาพที่จะเป็นคู่รักที่ดีมากน้อยแค่ไหน
เรามักจะตัดสินคนๆนั้นในช่วงแรกๆที่เรารู้จักเขา
ซึ่งถ้าจะว่ากันตามตรง
ช่วงเวลาแรกๆที่เรารู้จักคนๆหนึ่ง
ถือเป็นช่วงเวลาที่เรารู้จักเขาน้อยที่สุดเลยครับ!
ยิ่งไปกว่านั้น
ช่วงแรกๆที่เรารู้จักใครสักคน
ยังถือเป็นช่วงเวลา “โปรโมชั่น” อีกด้วย
ฉะนั้น
มันจึงเป็นเรื่องยากมากเลยครับที่เราจะรู้ได้ว่า
คนๆนั้นมีศักยภาพที่จะเป็นคู่รักที่ดีหรือเปล่า
นอกจากนี้
ต่อให้การตัดสินของเราจะ “แม่นยำ”
ต่อให้คนๆนั้นจะมีศักยภาพในการเป็นคู่รักที่ดีจริงๆ
นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า
เขาคนนั้นจะอยากสานสัมพันธ์กับเราเสมอไป
เพราะโดยทั่วไปแล้ว
คนที่มีศักยภาพที่จะเป็นคู่รักที่ดี
เขาก็มักจะอยากสานสัมพันธ์
กับคนที่มีศักยภาพที่จะเป็นคู่รักที่ดีเช่นกัน
ฉะนั้น
สมการของการมีความรักที่ดีในข้างต้น
(ความรักที่ดี = มองหาคู่รักที่ดี)
จึงเป็นสมการที่อาจจะยัง “ไม่เพียงพอ”
เพราะนอกจากเราจะมองหาคู่รักที่ดีแล้ว
ตัวเราเองก็ควรจะพัฒนาตัวเองให้ “คู่ควร” กับคู่รักที่ดีคนนั้น
ด้วยการกลายเป็นคู่รักที่ดีด้วยเช่นกันครับ
หากเราเลือกได้
พวกเราก็คงอยากจะมีแฟนที่มี “ความน่าดึงดูด” ที่สูง
ซึ่งเจ้า “ความน่าดึงดูด” ที่ผมพูดถึงนี้
ไม่ใช่หมายถึงเพียงแค่ “รูปร่างหน้าตา” เท่านั้นนะครับ
แต่มันยังรวมถึง “บุคลิกภาพ” “การศึกษา” “ความสามารถ” “ลักษณะนิสัย” “หน้าที่การงาน” ฯลฯ อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม
ความเป็นจริงที่มักจะเกิดขึ้นก็คือ
หากเรามีระดับ “ความน่าดึงดูด” อยู่ที่ 7/10
เรามักจะไม่ค่อยสานสัมพันธ์กับคนที่มีระดับ “ความน่าดึงดูด” อยู่ที่ 10/10 เท่าไหร่นัก
สาเหตุส่วนหนึ่งที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า
คนที่เขามีระดับ “ความน่าดึงดูด” อยู่ที่ 10/10
เขาก็อยากที่จะสานสัมพันธ์กับคนที่มีระดับ “ความน่าดึงดูด” ที่ใกล้เคียงกัน
ฉะนั้น
หากเรา (ซึ่งถูกสมมติในข้างต้นว่ามีระดับ “ความน่าดึงดูด” อยู่ที่ 7/10) พยายามที่จะสานสัมพันธ์กับคนที่อยู่ระดับ 10/10 ล่ะก็
โอกาสที่เราจะถูกปฏิเสธ…มีสูงมากครับ
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนส่วนใหญ่
มีแนวโน้มที่จะสานสัมพันธ์กับคนที่มีระดับ “ความน่าดึงดูด”
ไม่แตกต่างกับตัวเองมากนัก
กล่าวคือ
คนที่อยู่ระดับ 5/10 ก็มักจะคบกับคนที่อยู่ระดับ 5/10
(หรือไม่ก็ 4/10 หรือ 6/10)
คนที่อยู่ระดับ 7/10 ก็มักจะคบกับคนที่อยู่ระดับ 7/10 ด้วยกัน
(หรือไม่ก็ 6/10 หรือ 8/10)
คนที่อยู่ระดับ 2/10 ก็มักจะคบกับคนที่อยู่ระดับ 2/10 ด้วยกัน
(หรือไม่ก็ 1/10 หรือ 3/10)
ฯลฯ
ซึ่งถ้าจะมองกันในมุมหนึ่งแล้ว
นี่ก็ถือเป็นสิ่งที่ดีเหมือนกันครับ
เพราะการศึกษาที่มีอยู่พบว่า
ความรักความสัมพันธ์ที่แต่ละฝ่ายมีระดับ “ความน่าดึงดูด” ที่ใกล้เคียงกันนั้น
มีแนวโน้มที่จะเป็นความรักความสัมพันธ์ที่มีความสุขมากกว่า
เมื่อเทียบกับกรณีที่แต่ฝ่ายมีระดับ “ความน่าดึงดูด” ที่แตกต่างกันครับ
แหล่งอ้างอิง
https://doi.org/10.1037/h0021188
อะไรคือคุณลักษณะที่สำคัญ
ของคนที่มีสุขภาพจิตดี?
ทันทีที่ผมเห็นคำถามนี้
ในใจผมจะนึกถึงคนๆหนึ่งขึ้นมาเลยครับ
คนๆนั้นคือ Viktor Frankl
Frankl เป็นจิตแพทย์ชาวยิว
ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
และเช่นเดียวกันกับชาวยิวจำนวนมากในช่วงนั้น
Frankl ใช้ชีวิตอยู่หลายปีในฐานะนักโทษของค่ายกักกันนาซี
ซึ่งภายในค่ายกักกันนาซีนั้น
Frankl เผชิญกับการถูกปฏิบัติ
ราวกับว่าเขาไม่ใช่มนุษย์…ในหลากหลายรูปแบบ
(หากใครต้องการรู้เรื่องราวของ Frankl เพิ่มเติม
สามารถอ่านหนังสือของ Frankl
ที่ชื่อว่า Man’s Search for Meaning ได้ครับ)
แต่ถึงกระนั้น
Frankl ก็ผ่านพ้นความโหดร้ายในช่วงนั้นมาได้
โดยที่ยังคงมีสุขภาพใจที่แข็งแกร่งอยู่!
ด้วยเหตุนี้
คำถามสำคัญก็คือ…
อะไรคือ “ความลับ” ของ Frankl กันนะ?
ผมมองว่า
“ความลับ” ของ Frankl
ปรากฎอยู่ในคำพูดดังต่อไปนี้ของเขาครับ
“Everything can be taken from a man but one thing: the last of the human freedoms—to choose one's attitude in any given set of circumstances, to choose one's own way.”
“สิ่งต่างๆล้วนสามารถถูกพรากไปจากเราได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครสามารถพรากไปจากเราได้ สิ่งนั้นคืออิสรภาพของเราที่จะเลือกทัศนคติที่เรามีต่อสถานการณ์ต่างๆที่เราเผชิญ มันคืออิสรภาพของเราที่จะเลือกวิถีของเราเอง”
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น
หลายสิ่งที่มีค่า…ล้วนถูกพรากไปจากชีวิตของ Frankl
ทั้งพ่อแม่ ภรรยา ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ความเคารพนับถือที่ผู้คนมีให้ (ด้วยความที่ Frankl เป็นหมอ) ฯลฯ
แม้กระทั่งชื่อของ Frankl เอง
ก็ยังถูกพรากไปในช่วงเวลาที่เขาอยู่ในค่ายกักกันนั้นด้วย!
(เพราะนักโทษทุกคนที่อยู่ในค่ายจะถูก “ตีตรา” ด้วยตัวเลข
และตัวเลขดังกล่าวก็จะกลายเป็น “ชื่อ” ของเขาในค่ายนั้น)
แต่ถึงกระนั้น
สิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครสามารถพรากไปจาก Frankl ได้
คือท่าทีที่ Frankl เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่เลวร้ายนี้
Frankl สามารถเลือกได้ว่า
เขาจะเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่เลวร้ายนี้อย่างไร
ระหว่างการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่เลวร้ายนี้ด้วยท่าทีที่ “ยืนหยัด”
กับการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่เลวร้ายนี้ด้วยท่าทีที่ “ยอมจำนน”
ตัว Frankl นั้น
เขาเลือกที่จะเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ในค่ายกักกัน
ด้วยท่าทีที่ “ยืนหยัด”
และไม่ใช่เพียงแค่ตัว Frankl เท่านั้น
Frankl บอกว่า นักโทษจำนวนไม่น้อยในค่ายกักกัน
ก็เลือกที่จะเผชิญหน้ากับความดำมืดของชีวิตในค่ายกักกัน
ด้วยท่าทีที่ “ยืนหยัด” เช่นกัน
ซึ่ง Frankl สังเกตเห็นว่า
นักโทษที่เผชิญหน้ากับความดำมืดของชีวิตในค่ายกักกันด้วยท่าทีที่ “ยืนหยัด” นั้น มีแนวโน้มที่จะมีสุขภาพจิตที่ดีกว่า (เมื่อเทียบกับนักโทษที่มีท่าทีที่ “ยอมจำนน”) อย่างชัดเจนไม่น้อยเลยทีเดียว
ฉะนั้น
หากเราจะวกกลับไปที่คำถามตั้งต้น
ที่ผมเขียนไว้ในตอนต้นของบทความนี้
อะไรคือคุณลักษณะที่สำคัญ
ของคนที่มีสุขภาพจิตดี?
ถ้าจะให้ผมเดาใจ Frankl ล่ะก็
หาก Frankl เจอกับคำถามนี้
Frankl ก็คงจะให้คำตอบว่า…
คุณลักษณะที่สำคัญของคนที่มีสุขภาพจิตดี
คือการตระหนักถึงอิสรภาพในการเลือกทัศนคติที่เรามีต่อสถานการณ์ต่างๆที่เราเผชิญ (ไม่ว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะเลวร้ายเพียงใดก็ตาม) และการเลือกที่จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เลวร้ายในชีวิตของเราด้วยท่าทีที่ “ยืนหยัด” (ไม่ใช่ “ยอมจำนน”) ครับ!
เวลาที่คนใกล้ตัวเรากำลังทุกข์ใจมากๆ
หลายครั้ง เราจะช่วยเหลือเขา
ด้วยการให้ “คำแนะนำ” หรือ “ทางออก” หรือ “มุมมอง” ต่างๆ
ที่เรามองว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับเขา
อย่างไรก็ตาม
ต่อให้ “คำแนะนำ” หรือ “ทางออก” หรือ “มุมมอง” เหล่านี้
จะเป็นประโยชน์กับคนใกล้ตัวของเราก็จริง
แต่ถ้าเราให้ “คำแนะนำ” หรือ “ทางออก” หรือ “มุมมอง” เหล่านี้
ในจังหวะที่ “ไม่ถูกต้อง”
“คำแนะนำ” หรือ “ทางออก” หรือ “มุมมอง” ที่มีประโยชน์เหล่านี้
ก็จะกลายเป็นสิ่งที่ “ไม่มีประโยชน์” สำหรับคนใกล้ตัวที่กำลังทุกข์ใจอยู่ได้!
นั่นเป็นเพราะว่า
ในช่วงที่คนเรากำลังทุกข์ใจมากๆ
ร่างกายของเราจะตีความว่า
เรากำลังตกอยู่ในอันตราย
ส่งผลให้ร่างกายของเราเข้าสู่สภาวะที่พร้อมจะ “ต่อสู้” หรือ “วิ่งหนี”
และเพื่อให้ร่างกายของเรา “ต่อสู้” หรือ “วิ่งหนี” ได้เต็มประสิทธิภาพ
สมองส่วนที่ทำหน้าที่ “คิด วิเคราะห์ แยกแยะ” จึงปรับลดการทำงานลง
(ร่างกายจะได้เอาพลังงานส่วนนี้ไปใช้ “ต่อสู้” หรือ “วิ่งหนี” อย่างเต็มที่)
และเนื่องจากสมองส่วนที่ทำหน้าที่ “คิด วิเคราะห์ แยกแยะ” ปรับลดการทำงานลง
“คำแนะนำ” หรือ “ทางออก” หรือ “มุมมอง” ที่มีประโยชน์ของเรา
จึงกลายเป็นสิ่งที่ “ไม่มีประโยชน์” สำหรับคนใกล้ตัวที่กำลังทุกข์ใจอยู่นั่นเองครับ!
แหล่งอ้างอิง
เวลาที่เราได้ยินคำว่า “ซึมเศร้า”
หลายคนอาจจะนึกถึงคนที่ “พลังงานต่ำ” “ไม่ค่อยทำอะไร” “หงอย” ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม
หลายคนที่มีภาวะซึมเศร้า
กลับแสดงพฤติกรรมที่ตรงกันข้ามกับ “ภาพจำ” ในข้างต้นโดยสิ้นเชิง
กล่าวคือ
หลายคนที่มีภาวะซึมเศร้า
มีพฤติกรรมของการ “ลักเล็กขโมยน้อย” “ทะเลาะวิวาท” “นอกใจแฟน” และ/หรือ “ติดการพนัน” ซะอย่างนั้น!
เกิดอะไรขึ้นกับคนที่มีภาวะซึมเศร้าเหล่านี้?
คำตอบก็คือ…
เวลาที่เรามีภาวะซึมเศร้า
ภาวะซึมเศร้ามักจะเหนี่ยวนำให้เรา “พลังงานต่ำ” “ไม่ค่อยทำอะไร” “หงอย” ฯลฯ
ด้วยเหตุนี้
คนที่มีภาวะซึมเศร้าจำนวนหนึ่ง
จึงพยายามที่จะ “ต่อสู้” กับภาวะซึมเศร้า
ด้วยการ “ลักเล็กขโมยน้อย” “ทะเลาะวิวาท” “นอกใจแฟน” และ/หรือ “ติดการพนัน”
เพราะพวกเขาหวังว่า
“พฤติกรรมเสี่ยง” เหล่านี้
จะช่วย “ชูใจ” ของพวกเขาขึ้นมาได้นั่นเองครับ!
ตอนที่เรายังเป็นเด็ก
ตอนที่เรายังดูแลตัวเองไม่ค่อยได้
หลายคนที่เข้ามาในชีวิตของเรา
เขาเข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา
โดยที่เราไม่ได้เลือกให้เขาเข้ามาในชีวิตเรา
(เช่น คนในครอบครัว)
แต่เมื่อเราเติบโตมากขึ้น
เมื่อเราดูแลตัวเองได้มากขึ้น
เราจะเริ่มอยู่ในจุดที่สามารถ “เลือกได้” มากขึ้น
ว่าคนๆนี้…เราอยากให้เขาอยู่ในชีวิตของเรา
ว่าคนๆนั้น…เราไม่อยากให้เขาอยู่ในชีวิตของเรา
ซึ่งหากเราอยู่ในจุดที่สามารถ “เลือกได้” เมื่อไหร่ล่ะก็
ผมขอสนับสนุนให้ใช้ความสามารถนี้ครับ
เพราะในหลาย ๆ ครั้ง
ความทุกข์ทรมานในชีวิตของเราจะลดลงไปไม่น้อย
หากเราตัดคนบางคนออกไปจากชีวิตของเราครับ
เวลาที่เราสูญเสียคนที่เรารัก
ไม่ว่าการสูญเสียนั้นจะมาจากความตาย
หรือไม่ได้มาจากความตาย (เช่น หย่าร้าง) ก็ตาม
หลายคนจะนึกถึงการ move on
อย่างไรก็ตาม นักจิตวิทยา Pauline Boss
(ผู้เขียน The Myth of Closure: Ambiguous Loss in a Time of Pandemic and Change) กล่าวว่า
ในความเป็นจริงแล้ว
เราไม่สามารถที่จะ move on ได้โดยสมบูรณ์หรอกครับ
เวลาที่เราสูญเสียคนที่เรารักมากๆไป
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่
ความเสียใจก็จะยังคงอยู่ในใจเราอยู่ดี
เพียงแต่ว่า…
ช่วงแรกๆ คลื่นความเสียใจจะโหมกระหน่ำเข้ามาในใจบ่อยสักหน่อย
แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ
คลื่นความเสียใจก็จะยังคงซัดเข้ามาในใจอยู่แหละครับ
เพียงแต่ว่า…คลื่นความเสียใจจะไม่ได้เข้าซัดเข้ามาในใจบ่อยหรือหนักเท่าเดิม…เท่านั้นเองครับ
ฉะนั้น
สำหรับใครก็ตาม…ที่สูญเสียคนที่รักไป
และกำลังรู้สึกผิดที่ตัวเองยังไม่สามารถ move on ได้เสียที…ที่ตัวเองยังไม่สามารถ “ล้าง” ความเสียใจให้ออกไปได้อย่างหมดจดเสียที
ผมอยากจะบอกว่า…
นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้มากๆเลยครับ
และการที่คุณไม่สามารถ “ล้าง” ความเสียใจให้ออกไปได้อย่างหมดจดนั้น
ไม่ได้หมายความว่าคุณไร้ความสามารถ ดีไม่พอ พยายามน้อยเกินไป ฯลฯ แต่อย่างใด
เพราะการที่คุณไม่สามารถ “ล้าง” ความเสียใจให้ออกไปได้อย่างหมดจดนั้น
มันคือเรื่องปกติอย่างที่สุด
อนุญาตให้ตัวเองได้เสียใจเถอะครับ
เวลาที่เราพูดถึงคนที่เป็นโรคซึมเศร้า
หลายคนจะนึกถึงภาพของคนที่ inactive ในการใช้ชีวิต
ยกตัวอย่างเช่น
คนที่นอนอยู่บนเตียงทั้งวัน
ไม่มีแรงแม้แต่จะลุกออกจากเตียงเพื่อไปอาบน้ำ
เป็นต้น
ภาพดังกล่าวสะท้อนความเป็นจริงของหลายคนที่เป็นโรคซึมเศร้าก็จริง
แต่ภาพดังกล่าวไม่ใช่ “ทั้งหมด” ของคนที่เป็นโรคซึมเศร้า
หลายคนที่ผมได้มีโอกาสพูดคุยด้วย…มีชีวิตที่ active มากๆครับ
พวกเขาตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อมาออกกำลังกาย
พวกเขาทำงานไม่ต่ำกว่า 8-9 ชั่วโมง
พวกเขาเล่นกับลูกหลังจากที่ลูกกลับมาจากโรงเรียน
พวกเขาทำอาหารและทานข้าวกับคนในครอบครัว
ฯลฯ
พวกเขา active ในการใช้ชีวิตแต่ละวันมากๆ
แต่พวกเขาก็เป็นโรคซึมเศร้าด้วยเช่นกัน
ผมคิดว่านี่คือ “ความน่ากลัว” อย่างหนึ่งของโรคซึมเศร้าครับ
กล่าวคือ
โรคซึมเศร้ามี “หน้าตา” ที่หลากหลายมาก
ตั้งแต่ “หน้าตา” ของคนที่นอนซึมอยู่บนเตียงทั้งวัน
ไปจนถึง “หน้าตา” ของคนที่ใช้ชีวิตในแต่ละวันได้อย่าง ‘productive’ สุดๆ
หลายคนอาจจะรู้สึก “เอะใจ” ขึ้นมา
หากคนใกล้ตัวมี “หน้าตา” แบบแรก
ส่งผลให้คนใกล้ตัวได้รับการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ (เช่น นักจิตวิทยา จิตแพทย์) อย่างทันท่วงที
แต่ถ้าหากคนใกล้ตัวมี “หน้าตา” แบบหลังล่ะก็
เราอาจจะไม่ได้รู้สึก “เอะใจ” เลยแม้แต่นิดเดียว
จนกระทั่ง…มัน “สายเกินไป” แล้วครับ
เขาว่ากันว่า
ความรัก คือ การร่วมทุกข์ร่วมสุขกับใครสักคน
อย่างไรก็ตาม
หลายคนไม่อยากให้แฟนต้องเจอกับอะไรแย่ๆ
ฉะนั้น เวลาที่พวกเขามีอะไรไม่สบายใจ พวกเขาก็จะเก็บความไม่สบายใจนั้นไว้ในใจคนเดียว
ยกตัวอย่างเช่น
สามีรู้สึกหนักใจกับลูกน้องในทีมที่ทะเลาะกันอย่างรุนแรง
แต่เนื่องจากสามีไม่อยากให้ภรรยาต้องเจอกับ “พลังงานด้านลบ”
สามีจึงตัดสินใจที่จะไม่แบ่งปันความหนักใจนี้ให้ภรรยารับรู้
อย่างไรก็ตาม
ข้อเสียหนึ่งของการเก็บความไม่สบายใจไว้กับตัวคนเดียวก็คือ
เรามักจะไม่สามารถเก็บความไม่สบายใจนั้นไว้ได้มิดชิด 100%
อย่างกรณีของตัวอย่างในข้างต้น
แม้สามีจะไม่ได้ปริปากเล่าปัญหาในที่ทำงานให้ภรรยารับรู้
แต่ภรรยาก็มักจะสังเกตได้ว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติกับสามีของตนอยู่ดี
สามีอาจจะมีเจตนาดีที่ต้องการ “ปกป้อง” ภรรยาจาก “พลังงานด้านลบ” ก็จริง
แต่เจตนาที่ดีไม่สามารถการันตีได้ว่า
มันจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดี
อันที่จริง ในสถานกาณ์เช่นตัวอย่างข้างต้น
การที่สามีไม่พูดอาจจะส่งผลเสียก็เป็นได้
ยกตัวอย่างเช่น
ภรรยาอาจรู้สึกสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกับสามีของตนกันแน่
ส่งผลให้เกิดคำถามจำนวนมากผุดขึ้นมาในใจของภรรยา
(“ฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่า?” “เขาโกรธฉันหรือ?” “เขานอกใจฉันหรือ?” “เขาไม่เชื่อใจฉันมากพอที่จะเล่าให้ฉันฟังหรือ?” “ฉันช่วยอะไรเขาไม่ได้เลยหรือ?” ฯลฯ)
กลายเป็นว่า
แม้เจตนาตั้งต้นของสามี คือ การ “ปกป้อง” ภรรยาจาก “พลังงานด้านลบ” ก็จริง
แต่ผลที่เกิดขึ้นก็คือ การ “ปกป้อง” ของสามีกลับเป็นส่วนสำคัญที่สร้าง “พลังงานด้านลบ” ให้กับภรรยาซะอย่างงั้น
ด้วยเหตุนี้
สำหรับหลายๆกรณี
การ “ปกป้อง” แฟนจาก “พลังงานด้านลบ” ที่ดีที่สุด คือ การไม่พยายามที่จะ “ปกป้อง” แฟนจาก “พลังงานด้านลบ” ครับ
หลายคนบอกว่า
การอ่านนิยายช่วยให้พวกเขา “เติบโต” มากขึ้น
และที่ผ่านมา
ก็มีงานวิจัยจำนวนไม่น้อย…ที่พบว่าการอ่านนิยายสามารถช่วยให้เรา “เติบโต” มากขึ้นได้จริงๆ
อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจจะเกิดคำถามในใจว่า
“แล้วทำไมเราต้องเสียเวลาอ่านนิยายทั้งเล่มด้วย? เพียงแค่เราอ่านบทเรียนที่ถูกสกัดออกมาจากนิยายเหล่านั้น…ก็น่าจะให้ผลลัพธ์เหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
คำตอบก็คือ…
ประการแรก
หลายคนไม่ได้อ่านนิยายเพียงเพื่อที่จะ “เติบโต” ขึ้นอย่างเดียว
แต่หลายคนยังอ่านนิยายเพราะมันเป็นกิจกรรมที่ “เพลิดเพลิน” อีกด้วย
ฉะนั้น เพียงแค่อ่านเฉพาะ “บทเรียน” ที่ถูกสกัดออกมาจากนิยายเพียงอย่างเดียว…จึงไม่ตอบโจทย์หลายๆคนครับ
ประการที่สอง
การที่เราอ่านเฉพาะ “บทเรียน” ที่ถูกสกัดออกมาจากนิยายนั้น…มันไม่ได้เข้าถึง “ใจ” ได้มากเท่ากับกรณีที่เราอ่านนิยายทั้งเล่มครับ
เพราะเวลาที่เราอ่านนิยาย
เราได้เข้าไปอยู่ในโลกใบนั้น
เราได้ร่วมเดินทางไปกับตัวละครเหล่านั้น
เราได้เผชิญเหตุการณ์ต่างๆ อุปสรรคๆ ไปด้วยกันกับตัวละครเหล่านั้น
เราได้เรียนรู้และเติบโตไปพร้อมๆกันกับตัวละครเหล่านั้น
เพราะฉะนั้น
เวลาที่เราอ่านนิยาย
“บทเรียน” ที่เราสกัดได้…มันจะให้ความรู้สึกว่าเป็น “บทเรียนของเรา”
มันแตกต่างจากกรณีที่เราอ่านบทสรุปที่คนอื่นเขาสกัด “บทเรียน” ออกมาป้อนให้เรามากๆเลยครับ
มันอาจจะไม่แตกต่างในแง่ของ “เนื้อหา”
แต่มันแตกต่างในแง่ของ “ประสบการณ์”
ซึ่งตัว “ประสบการณ์” นี่แหละครับ…ที่จะทำให้ “เนื้อหา” เหล่านี้…ไม่เพียงแค่เข้าไปอยู่ใน “สมอง” เราเท่านั้น
แต่ยังเข้าไปอยู่ใน “ใจ” ของเราอีกด้วยครับ
แหล่งอ้างอิง
Djikic, M., Oatley, K., Zoeterman, S., & Peterson, J. B. (2009). On being moved by art: How reading fiction transforms the self. Creativity Research Journal, 21(1), 24-29.
Djikic, M., Oatley, K., & Moldoveanu, M. C. (2013). Opening the closed mind: The effect of exposure to literature on the need for closure. Creativity Research Journal, 25(2), 149-154.
Oatley, K. (2012). The cognitive science of fiction. Wiley Interdisciplinary Reviews: Cognitive Science, 3(4), 425-430.
Chirumbolo, A., Livi, S., Mannetti, L., Pierro, A., & Kruglanski, A. W. (2004). Effects of need for closure on creativity in small group interactions. European Journal of Personality, 18(4), 265-278.
“ฉันมันห่วยแตกสิ้นดี”
นี่คือความคิดที่ชอบผุดขึ้นมาในใจของหลายๆคน…ในหลายๆโอกาส
มันเป็นความคิดที่สามารถส่งผลให้เรารู้สึกหดหู่ ท้อแท้ หมดกำลังใจอยู่ไม่น้อย…แม้เราจะรู้ว่าความคิดนี้ไม่เป็นความจริงก็ตาม
หลายคนพยายามที่จะรับมือกับ “ฉันมันห่วยแตกสิ้นดี” ด้วยการสร้างความคิดอีกแบบหนึ่งมาต่อสู้กับ “ฉันมันห่วยแตกสิ้นดี”
ความคิดอีกแบบที่ว่านี้…คือ “ฉันมันโคตรเทพไร้ที่ติ”
สำหรับบางคน การต่อสู้กับ “ฉันมันห่วยแตกสิ้นดี” ด้วย “ฉันมันโคตรเทพไร้ที่ติ” อาจจะเป็นแนวทางที่ได้ผล
แต่สำหรับคนจำนวนไม่น้อย
การต่อสู้กับ “ฉันมันห่วยแตกสิ้นดี” ด้วย “ฉันมันโคตรเทพไร้ที่ติ” ไม่ใช่แนวทางที่ได้ผลเท่าไหร่นัก
นั่นเป็นเพราะว่า…พวกเขารู้อยู่แก่ใจว่า “ฉันมันโคตรเทพไร้ที่ติ” ก็เหมือนกันกับ “ฉันมันห่วยแตกสิ้นดี”
เหมือนกันตรงที่ทั้งคู่…ล้วนไม่ใช่ “ความจริง”
เพราะ “ความจริง” ก็คือ…
พวกเขาไม่ได้ “เลวบริสุทธิ์” (“ฉันมันห่วยแตกสิ้นดี”)
แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ไม่ได้ “สมบูรณ์แบบ” (“ฉันมันโคตรเทพไร้ที่ติ”)
ด้วยเหตุนี้
การต่อสู้กับ “ความไม่จริง” (“ฉันมันห่วยแตกสิ้นดี”) ด้วย “ความไม่จริง” (“ฉันมันโคตรเทพไร้ที่ติ”) จึงเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีผลต่อใจพวกเขา
หลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะสงสัยว่า…แล้วพวกเขาจะรับมือกับ “ความไม่จริง” ในใจนี้ (“ฉันมันห่วยแตกสิ้นดี”) ยังไงดี?
หนทางหนึ่ง คือ การรับมือกับ “ความไม่จริง” (“ฉันมันห่วยแตกสิ้นดี”) ด้วย “ความจริง” ครับ
แทนที่จะรับมือกับ “ฉันมันห่วยแตกสิ้นดี” ด้วยการพูดกับตัวเองว่า “ฉันมันโคตรเทพไร้ที่ติ” (ซึ่งไม่จริง)
พวกเขาอาจจะพูดกับตัวเองว่า “ฉันทำผิดพลาดในครั้งนี้…แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า…ฉันคือคนที่ห่วยแตกสิ้นดีที่จะไม่มีวันทำอะไรได้ถูกต้องอีกแล้วในชาตินี้” ครับ
การรับมือกับ “ความไม่จริง” ด้วย “ความจริง” แบบนี้…อาจจะไม่ได้ช่วยให้ความทุกข์ภายในใจหายไปได้ทันทีอย่างปลิดทิ้งก็จริง
แต่อย่างน้อยที่สุด…มันก็สามารถช่วยป้องกันไม่ให้ความทุกข์ภายในใจทวีความเข้มข้นจนถึงขั้น “เกินจริง” ได้ครับ
หลายคนคงจะคุ้นเคยกับนิทานอีสปเรื่อง “จิ้งจอกกับองุ่นเปรี้ยว” เป็นอย่างดี
จิ้งจอกเห็นองุ่นพวงหนึ่งอยู่บนต้นไม้
องุ่นพวงนั้นน่ากินมาก
จิ้งจอกพยายามกระโดดไปคว้าองุ่นพวกนั้นอยู่หลายครั้ง
แต่ก็คว้าไม่ได้เสียที
ในที่สุด จิ้งจอกก็ล้มเลิกความพยายามที่จะคว้าองุ่นพวงนั้น
และพูดกับตัวเองว่า
“ข้านี่ช่างโง่เง่าเสียจริงๆ…ข้าไม่น่าเสียเวลาไปกับการพยายามไขว่คว้าองุ่นเปรี้ยวๆพวงนั้นเลย”
จากนั้น จิ้งจอกก็เดินจากไป
เวลาที่เราเจอกับความผิดหวัง
ไม่ว่าจะเป็นความผิดหวังที่เราไม่ได้ทำงานที่เราอยากทำ
ไม่ว่าจะเป็นความผิดหวังที่เราไม่ได้เรียนในสิ่งที่เราอยากเรียน
ไม่ว่าจะเป็นความผิดหวังที่เราไม่ได้สานสัมพันธ์กับคนที่เราชอบ
ฯลฯ
หลายครั้ง เราจะปลอบใจตัวเองแบบ “จิ้งจอกองุ่นเปรี้ยว”
ยกตัวอย่างเช่น
“จริงๆแล้ว งานตำแหน่งนั้น…ก็ไม่ได้ดีเด่อะไรหรอก…ภาระหน้าที่เยอะจะตาย”
“จริงๆแล้ว คณะสาขานั้น…ก็ไม่ได้ดีเด่อะไรหรอก…จบไปแล้วหางานทำยาก”
“จริงๆแล้ว คนๆนั้น…ก็ไม่ได้ดีเด่อะไรหรอก…คบกันไปก็คงทะเลาะกันทุกวัน”
เป็นต้น
การปลอบใจตัวเองแบบ “จิ้งจอกองุ่นเปรี้ยว” ไม่ใช่สิ่งที่ผิดครับ
แต่ในบางครั้ง มันทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
กล่าวคือ…แม้ปากเราจะพูดปลอบใจตัวเองแบบ “จิ้งจอกองุ่นเปรี้ยว”
แต่ใจเราไม่ได้เชื่อในสิ่งที่ปากเราพูด
ส่งผลให้ความรู้สึกผิดหวัง…ไม่ได้เบาบางลงไปแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น
ทุกครั้งที่ปากเราพูดปลอบใจแบบ “จิ้งจอกองุ่นเปรี้ยว”
ในใจเราก็จะอีกเสียงหนึ่งที่คอยคัดค้านว่า
“แต่เราอยากได้งานตำแหน่งนั้นจริงๆนะ”
“แต่เราอยากเรียนคณะสาขานั้นจริงๆนะ”
“แต่เราอยากคบกับคนๆนั้นจริงๆนะ”
ฯลฯ
กลายเป็นว่า…นอกจากความผิดหวังของเราจะไม่ได้เบาบางลงแล้ว
มันยังเกิดความขัดแย้งภายในใจระหว่างเสียงของ “จิ้งจอกองุ่นเปรี้ยว” และเสียงที่ “คัดค้านจิ้งจอกองุ่นเปรี้ยว” อีกด้วย
หลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้…อาจจะเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า
“ถ้าอย่างนั้น…เราควรทำยังไงดี?”
สิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้ในกรณีแบบนี้ก็คือ…การลดความเสียหายครับ
เราอาจจะไม่สามารถทำให้ความผิดหวังในใจเราเบาบางลงได้
แต่เราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งภายในใจระหว่าง “จิ้งจอกองุ่นเปรี้ยว” และ “คัดค้านจิ้งจอกองุ่นเปรี้ยว” ได้…ด้วยการหยุดปลอบใจตัวเองแบบ “จิ้งจอกองุ่นเปรี้ยว” ได้ครับ
ฉะนั้น...แทนที่เราจะพูดกับตัวเองว่า
“จริงๆแล้ว งานตำแหน่งนั้น…ก็ไม่ได้ดีเด่อะไรหรอก…ภาระหน้าที่เยอะจะตาย”
“จริงๆแล้ว คณะสาขานั้น…ก็ไม่ได้ดีเด่อะไรหรอก…จบไปแล้วหางานทำยาก”
“จริงๆแล้ว คนๆนั้น…ก็ไม่ได้ดีเด่อะไรหรอก…คบกันไปก็คงทะเลาะกันทุกวัน”
ฯลฯ
เราอาจจะต้อนรับความรู้สึกผิดหวังของเรา
และอนุญาตให้มันมีพื้นที่อยู่ในใจของเราอย่างเต็มที่
เราไม่จำเป็นต้องชอบความรู้สึกผิดหวังนี้นะครับ
แต่แม้เราจะไม่ชอบที่เรารู้สึกผิดหวัง
เราก็ยังสามารถแบ่งพื้นที่ในใจเราให้ความรู้สึกผิดหวังเข้ามาจับจองได้
ทำนองเดียวกับเจ้าของโรงแรมที่สามารถเปิดห้องให้แขกเข้ามานอนได้
แม้เจ้าของโรงแรมจะไม่ได้ชอบขี้หน้าแขกคนนั้นเป็นการส่วนตัวก็ตาม
นี่คือหนทางหนึ่งที่จะช่วยลดความเสียหายลงได้ครับ
หนึ่งในแนวคิดเกี่ยวกับภาวะซึมเศร้าที่ผมเห็นบ่อยๆ
คือแนวคิดที่ว่า…สาเหตุของภาวะซึมเศร้า คือ ความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง
มันไม่ใช่แนวคิดที่ถึงกับ “ผิด” ครับ
แต่มันเป็นแนวคิดที่ “ไม่สมบูรณ์”
เพราะในความเป็นจริงแล้ว
สาเหตุของภาวะซึมเศร้า…มีหลากหลายอย่างมากเลยครับ
กรรมพันธุ์ก็ใช่ อาการเจ็บป่วยทางกายก็ใช่ ความเปลี่ยนแปลงในชีวิตก็ใช่ ทักษะการจัดการอารมณ์ความรู้สึกก็มีใช่ การใช้ชีวิตอุดอู้อยู่แต่ภายในอาคารก็ใช่ อาหาร/เครื่องดื่มบางประเภทก็ใช่ ฯลฯ
หลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะสงสัยว่า
การเข้าใจว่าภาวะซึมเศร้ามีสาเหตุที่หลากหลาย
มันดีกว่าการเข้าใจว่าภาวะซึมเศร้าเกิดจากความไม่สมดุลของสารเคมีในสมองเพียงอย่างเดียวยังไงกัน?
ผมขอให้คำตอบแบบนี้ครับ
เวลาที่เราเข้าใจว่าภาวะซึมเศร้ามีสาเหตุมาจากความไม่สมดุลของสารเคมีในสมองเพียงอย่างเดียว
เราก็มีแนวโน้มที่จะรับมือกับภาวะซึมเศร้าด้วยการทานยาเพียงอย่างเดียว
เรามีแนวโน้มที่จะละเลยแนวทางการรับมือกับภาวะซึมเศร้าแนวทางอื่นๆ
เช่น การพูดคุยกับนักจิตวิทยา การออกกำลังกาย การปรับอาหารการกิน การใช้ชีวิตกลางแจ้ง/ภายนอกอาคาร เป็นต้น
ถ้าจะพูดในเชิงเปรียบเปรยล่ะก็
หากภาวะซึมเศร้าเปรียบเหมือนศัตรูที่เราต้องการเอาชนะ
แทนที่เราจะใช้ “อาวุธ” ทุกชนิดที่เรามีอยู่ในคลังแสงในการต่อสู้ (เช่น มีด ปืน ระบิด ธนู หอก ดาบ)
ความเข้าใจที่ “ไม่สมบูรณ์” จะทำให้เราใช้เพียงแค่ดาบเท่านั้น
โอกาสที่เราจะเอาชนะศัตรูที่ชื่อว่า “ภาวะซึมเศร้า” นี้…จึงน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า…บทความนี้จะเป็นอีกหนึ่งจุดเล็กๆที่ช่วยขยายแนวคิดที่ “ไม่สมบูรณ์” เกี่ยวกับสาเหตุของภาวะซึมเศร้านี้…ให้มีความ “สมบูรณ์” มากขึ้น
โอกาสในการเอาชนะ "ภาวะซึมเศร้า" ของเรา...จะได้มีมากขึ้นครับ
หลายคนที่มีภาวะซึมเศร้า
มักจะไม่อยากทำอะไร
อันที่จริง
หลายคนที่มีภาวะซึมเศร้าหนักๆ
ไม่อยากแม้แต่จะลุกออกจากเตียงด้วยซ้ำ
นั่นเป็นเพราะว่า
เวลาที่เรามีภาวะซึมเศร้า
เรามีแนวโน้มที่จะรู้สึก “พลังงานต่ำ”
ส่งผลให้เราไม่มี “พลังงาน” ที่จะทำอะไรทั้งสิ้น
ในฐานะที่ผมเป็นนักจิตวิทยา
ผมสามารถเข้าใจภาวะ “ไม่อยากทำอะไร” นี้ได้
แต่แม้ว่าผมจะเข้าใจ
ผมก็ยังไม่สนับสนุนการ “ไม่ทำอะไร” อยู่ดี
เพราะสำหรับหลายๆคน
เวลาที่พวกเขามีภาวะซึมเศร้า
พวกเขามีแนวโน้มที่จะมองว่าตัวเอง “ไร้ค่า”
ด้วยเหตุนี้
การ “ไม่ทำอะไร” จึงเป็นเหมือนการตอกย้ำคำว่า “ไร้ค่า” ให้ดังชัดเจนในใจมากขึ้นๆๆๆๆ
และยิ่งคำว่า “ไร้ค่า” ชัดเจนในใจมากขึ้นเท่าไหร่
ภาวะซึมเศร้าก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
และพอภาวะซึมเศร้าทวีความรุนแรงมากขึ้น
ก็ยิ่ง “ไม่อยากทำอะไร” เข้าไปอีก!
กลายเป็นว่า…
เรา “ถลำลึก” เข้าไปในวังวนแห่งภาวะซึมเศร้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หนทางหนึ่งที่จะช่วยให้เราไม่ “ถลำลึก” เข้าไปในวังวนแห่งภาวะซึมเศร้ามากกว่านี้...
คือการไม่ปล่อยให้ตัวเอง “ไม่ทำอะไร”
หนทางหนึ่งที่จะช่วยให้เราไม่ “ถลำลึก” เข้าไปในวังวนแห่งภาวะซึมเศร้ามากกว่านี้...
คือการบังคับให้ตัวเอง “ทำอะไรสักอย่าง”
แม้เราจะ “พลังงานต่ำ” แค่ไหนก็ตาม
ต่อให้สิ่งที่เราลงมือทำจะเป็นสิ่ง “เล็กๆ”
แต่ “เล็กๆ” ก็ยังดีกว่า “ไม่ทำอะไร” อยู่ดีครับ
ฉะนั้น
ผมจึงขอเสนอว่า…
หากเรา “พลังงานต่ำ” เกินกว่าที่จะอาบน้ำได้
อย่างน้อย ขอให้เราได้ล้างหน้า
หากเรา “พลังงานต่ำ” เกินกว่าที่จะทำความสะอาดห้องนอนทั้งห้องได้
อย่างน้อย ขอให้เราได้ความสะอาดโต๊ะหนึ่งตัวในห้อง
หากเรา “พลังงานต่ำ” เกินกว่าที่จะเขียนรายงานทั้งหน้าได้
อย่างน้อย ขอให้เราได้เขียนสัก 1 ประโยค
เล่าจื๊อ (นักปราชญ์ชาวจีน) เคยกล่าวไว้ว่า
“หนทางไกลนับหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นที่ก้าวแรก”
ผมขอเชิญชวนให้ทุกๆคนที่มีภาวะซึมเศร้า
มาเริ่มต้นก้าวเล็กๆก้าวแรก
เพื่อพาตัวเองออกจากวังวนแห่งภาวะซึมเศร้าไปด้วยกันครับ
ฝรั่งมีคำกล่าวว่า
“Choosing a partner is choosing a set of problems.”
“การเลือกที่จะคบกับใครสักคน คือ การเลือกที่จะอยู่กับปัญหาชุดหนึ่ง”
สิ่งที่น่าสังเกตในประโยคข้างบนก็คือ
มันไม่ใช่การเลือกที่จะแก้ปัญหาชุดหนึ่งนะครับ
แต่มันคือการเลือกที่จะอยู่กับปัญหาชุดหนึ่ง
เหมือนประโยคข้างบนกำลังจะสื่อเป็นนัยๆว่า
ปัญหาหรือความขัดแย้งอะไรก็ตามที่เรามีกับแฟนนั้น…มันจะไม่มีวันดีขึ้น!
หลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะสงสัยว่า
“จริงหรือ…ที่ปัญหาหรือความขัดแย้งทั้งหลายที่เรามีกับแฟนเรา…จะไม่มีวันดีขึ้น?”
นักจิตวิทยา John Gottman (เจ้าของหนังสือ The Seven Principles of Making Marriage Work) มีคำตอบครับ
การศึกษาของ Gottman (และทีมของเขา) พบว่า
ในบรรดาความขัดแย้งทั้งหมดที่เรามีกับแฟน
มีเพียงแค่ 31% เท่านั้นที่สามารถคลี่คลายได้!
ส่วนอีก 69% นั้น
เป็นความขัดแย้งที่เราไม่มีทางเลือกอื่น
นอกจากเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันเท่านั้น!
เพราะ 69% นี้เป็นความขัดแย้งที่เกิดจากความแตกต่างที่ “ฝังรากลึก” เกินกว่าที่จะเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ (เช่น บุคลิกภาพ วิถีชีวิต ค่านิยม)
ฉะนั้น หากเรามีความขัดแย้งกับแฟนในเรื่องที่ “ร้ายแรงเกินรับได้” ล่ะก็
เราอาจจะต้องพิจารณายุติความสัมพันธ์อย่างจริงจังครับ
เพราะมันมีโอกาสมากถึง 69% เลยทีเดียว
ที่ความขัดแย้งในเรื่องที่ “ร้ายแรงเกินรับได้” นี้
จะอยู่กับเรา “ตลอดไป” ครับ!
ในฐานะที่ผมเป็นนักจิตวิทยา
ผมพบว่าหลายๆคนมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับนักจิตวิทยาอยู่อย่างน้อย 2 จุด
ผมจึงขอใช้พื้นที่ตรงนี้
เพื่อ “แก้ไข” ความเข้าใจผิด 2 จุดนี้ให้ถูกต้องมากขึ้นครับ
# 1 “คนบ้า” เท่านั้น…ที่มาคุยกับนักจิตวิทยา
ความจริงก็คือ
ถ้าไม่นับนักจิตวิทยาเฉพาะทางล่ะก็
โดยทั่วไปแล้ว
นักจิตวิทยาไม่ได้ให้บริการกับคนที่มี “ปัญหาสุขภาพจิตร้ายแรง” (เช่น หูแว่ว ยืนคุยกับกำแพง เชื่อว่าตัวเองเป็นพระนเรศวรกลับชาติมาเกิด เป็นต้น) เลยครับ
อย่างกรณีของผม
ผู้รับบริการของผมส่วนใหญ่
มีสุขภาพจิตที่ถือว่า “แข็งแรง” ด้วยซ้ำไปครับ
เพียงแต่ว่า
พวกเขาอาจจะเผชิญกับ “ปัญหาชีวิต” บางอย่าง (เช่น สูญเสียสมาชิกครอบครัว เกิดการหย่าร้าง ตกงาน)
ส่งผลให้พวกเขาตัดสินใจมาพูดคุยกับนักจิตวิทยา
เปรียบเหมือนกรณีที่เรามีสุขภาพกายที่ “แข็งแรง” อยู่แล้ว
แต่อยู่มาวันหนึ่ง
เราเจอกับ “อุบัติเหตุ” บางอย่าง (เช่น รถชน)
ส่งผลให้เราต้องเข้าโรงพยาบาลมาหาหมอนั่นเองครับ
# 2 ต้อง “มีปัญหา” เท่านั้น…ถึงจะมาพูดคุยกับนักจิตวิทยา
ความจริงก็คือ
เราไม่จำเป็นต้องมีปัญหาทางร่างกาย
เราก็สามารถมาหาหมอได้ฉันใด (เช่น ตรวจสุขภาพประจำปี)
ต่อให้เราจะไม่มี “ปัญหาชีวิต”
เราก็สามารถมาพูดคุยกับนักจิตวิทยาได้ฉันนั้น
เพราะนักจิตวิทยาไม่ได้พูดคุยแนว “แก้ปัญหา” ได้อย่างเดียวเท่านั้น
แต่นักจิตวิทยายังสามารถพูดคุยแนว “พัฒนาตัวเอง” ได้อีกด้วย (เช่น พัฒนาทักษะการสื่อสาร สำรวจความหมายในชีวิต เป็นต้น)
ผมหวังว่าบทความนี้
จะช่วยแก้ไขความเข้าใจผิดใน 2 จุดนี้ได้บ้างนะครับ
หนึ่งในนักเขียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก คือ Stephen King
ผลงานเด่นๆของ King ได้แก่ The Shining, The Green Mile และ It
สิ่งที่ผมชอบที่สุดในตัว King ไม่ใช่ผลงานของเขา
แต่เป็นแนวทางการทำงานของเขา
เวลาที่ King จะเขียนหนังสือสักเล่ม
King ไม่ได้นั่งรอให้มี “แรงบันดาลใจ” ก่อน…แล้วจึงค่อยเขียน
แนวทางการทำงานของ King ก็คือ
เวลาที่ King เขียนหนังสือ
เขาจะตั้งเป้าหมายว่า…ในแต่ละวัน…เขาจะต้องเขียนให้ได้วันละ 6 หน้า
ไม่ว่าวันนั้นจะฝนตกหรือแดดออก
ไม่ว่าวันนั้น King จะ “มีแรงบันดาลใจ” หรือ “ไม่มีแรงบันดาลใจ”
King ก็จะเขียนให้ได้วันละ 6 หน้าเสมอ (เว้นเสียแต่ว่ามีอะไรบางอย่างฉุกเฉินเข้ามาแทรกในชีวิต)
นี่คือเหตุผลที่ทำให้ King “คลอด” หนังสือเล่มใหม่ออกมาได้...โดยใช้เวลาเพียงแค่ราวๆ 2 เดือนเท่านั้น
พวกเราแต่ละคนอาจจะไม่ได้เป็นนักเขียนเหมือน King
แต่พวกเราแต่ละคน…ล้วนมีสิ่งสำคัญที่เราอยากทำ
อย่างไรก็ตาม
หลายๆคนไม่ได้ลงมือทำสิ่งที่อยากทำ
เพราะพวกเขายังไม่มี “แรงบันดาลใจ”
“แรงบันดาลใจ” เป็น “เชื้อเพลิง” ที่ดีครับ
แต่มันเป็น “เชื้อเพลิง” ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้
แทนที่จะพึ่ง “เชื้อเพลิง” อย่าง “แรงบันดาลใจ” เป็นหลัก
ผมขอเสนอ “เชื้อเพลิง” อีกหนึ่งประเภท…ที่มีชื่อว่า “กิจวัตรประจำวัน” ครับ
“กิจวัตรประจำวัน” ของเรา…ไม่จำเป็นต้อง “โหด” เหมือน King เลยครับ (เขียนวันละ 6 หน้า)
เราเริ่มจากอะไรที่ “เล็กน้อย” (เช่น เขียนวันละ 10 ประโยค) ก่อนก็ได้ครับ
แล้วจึงค่อยๆขยับให้มากขึ้นทีละนิดๆๆๆๆๆๆๆ
สิ่งที่เรามักจะพบก็คือ
ในบางจังหวะ…การลงมือทำของเรานี่แหละครับ…ที่กระตุ้นให้เราเกิด “แรงบันดาลใจ” ตามมาอีกที
ส่งผลให้เรา “ติดลม” ยาวโลดไปเลยครับ
หรือต่อให้การลงมือทำของเรา…จะไม่ได้นำมาสู่ “แรงบันดาลใจ”
แต่อย่างน้อยที่สุด
เราก็ได้ลงมือทำในสิ่งที่สำคัญสำหรับเรา
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ
“กิจวัตรประจำวัน” ช่วยให้เราไม่ต้องหวังพึ่ง “แรงบันดาลใจ”
“กิจวัตรประจำวัน” ช่วยให้เราไม่ต้องง้อ “แรงบันดาลใจ”
“กิจวัตรประจำวัน” ช่วยให้เราเป็นอิสระจาก “แรงบันดาลใจ”
ฉะนั้น ผมจึงขอเสนอว่า
อย่าปล่อยให้สิ่งที่สำคัญสำหรับเรา…ต้องมาขึ้นอยู่กับสิ่งที่เอาแน่เอานอนไม่ได้อย่าง “แรงบันดาลใจ” เลยครับ
สร้าง “กิจวัตรประจำวัน” ของเราขึ้นมา…และหันมาพึ่ง “กิจวัตรประจำวัน” ของเราดีกว่าครับ
หลายคนมองว่า
เวลาที่มาหานักจิตวิทยา
นักจิตวิทยาจะชวนให้ “คิดบวก”
ยกตัวอย่างเช่น
สมมติว่าเราโดนแฟนทิ้ง
และเรามีความคิด “ฉันมันไร้ค่า” ผุดขึ้นมาในใจ
ส่งผลให้เรารู้สึกเสียใจมากๆ
ในตัวอย่างนี้
หลายคนเข้าใจว่า
นักจิตวิทยาจะชวนให้เราเปลี่ยนความคิด
จาก “ฉันไร้ค่า” เป็น “ฉันโคตรมีค่าสุดๆ”
จริงๆแล้ว นักจิตวิทยาไม่ได้ให้ความสำคัญกับการ “คิดบวก” เท่าไหร่นัก
เพราะต่อให้เราจะ "คิดบวก" ขนาดไหน
แต่ถ้าการ "คิดบวก" นั้น...มันคือการ "หลอกตัวเอง"
การ "คิดบวก" ดังกล่าว...ก็ไม่ได้ผลอยู่ดี
ด้วยเหตุนี้ นักจิตวิทยาจึงให้ความสำคัญกับการ “คิดตามความเป็นจริง” มากกว่าครับ
อย่างในกรณีของตัวอย่างข้างบน
สิ่งหนึ่งที่นักจิตวิทยาอาจจะทำ
คือการนำความคิด “ฉันไร้ค่า” มา “ขึ้นศาล”
ขั้นแรก
นักจิตวิทยาจะชวนให้เราพิจารณาดูว่า
มีหลักฐานอะไรบ้างที่สนับสนุนความคิด “ฉันไร้ค่า”
(เช่น แฟนทิ้งเราไป, เพื่อนร่วมงานโยนงานมาให้เราทำทุกวัน เป็นต้น)
ขั้นต่อไป
นักจิตวิทยาจะชวนให้เราพิจารณาดูว่า
มีหลักฐานอะไรบ้างที่คัดค้านความคิด “ฉันไร้ค่า”
(เช่น พ่อแม่พูดกับเราว่า “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พ่อกับแม่ก็ยังอยู่ตรงนี้เสมอ”, หัวหน้าเอ่ยปากชมเราในเรื่องของความขยันขันแข็งในการทำงาน, พอรู้ว่าเราโดนแฟนทิ้ง เพื่อนก็โทรศัพท์/ส่งข้อความมาให้กำลังใจเราหลายคน เป็นต้น)
หลังจากนั้น
นักจิตวิทยาก็จะชวนให้เราพิจารณาว่า
หลังจากที่ได้รวบรวมหลักฐานมาทั้งหมดแล้ว
ทั้งหลักฐานที่สนับสนุนและคัดค้านความคิด “ฉันไร้ค่า”
เราจะเปลี่ยนความคิด “ฉันไร้ค่า” ให้กลายเป็นอะไรที่สอดคล้องกับหลักฐานทั้งหมดดี
ถ้าเป็นกรณีของตัวอย่างข้างบน
เราก็อาจจะเปลี่ยนจาก “ฉันไร้ค่า”
ให้กลายเป็น “แฟนเก่าและเพื่อนร่วมงานอาจจะมีการปฏิบัติกับฉันราวกับว่าฉันไร้ค่า แต่ในสายตาของครอบครัว หัวหน้า และเพื่อนๆ ฉันยังมีค่าอยู่”
สังเกตดูนะครับว่า
นักจิตวิทยาไม่ได้ชวนให้เรา “คิดบวก”
แต่นักจิตวิทยาชวนให้เรา “คิดตามความเป็นจริง” มากกว่า
ใช่ครับ
การเปลี่ยนมา “คิดตามความเป็นจริง” นี้
ไม่ได้หมายความว่า…เราจะไม่เสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว
เพราะนักจิตวิทยาก็ไม่ใช่เทวดา
เราไม่ได้วิเศษวิโสถึงขนาดที่จะ “ปัดเป่า” ความทุกข์ใจให้ “มลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง” ได้
แต่อย่างน้อยที่สุด
ความเสียใจที่เชื่อมโยงกับความคิด “แฟนเก่าและเพื่อนร่วมงานอาจจะมีการปฏิบัติกับฉันราวกับว่าฉันไร้ค่า แต่ในสายตาของครอบครัว หัวหน้า และเพื่อนๆ ฉันยังมีค่าอยู่”
มันก็ไม่ได้เข้มข้นเท่ากับความเสียใจที่เชื่อมโยงกับความคิด “ฉันไร้ค่า”
นักจิตวิทยาอาจจะไม่สามารถ “ปัดเป่า” ความทุกข์ใจให้ “มลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง” ได้
แต่เราสามารถ “บรรเทา” ความเข้มข้นของความทุกข์ใจได้ครับ
แหล่งอ้างอิง https://doi.org/10.1002/9781118528563.wbcbt02
นักจิตวิทยา C. Raymond Knee พบว่า…คนเรามีมุมมองต่อความรัก 2 แบบ
บางคนเชื่อว่า…ความรักที่ดี คือ ความรักที่เกิดขึ้นเวลาเราเจอ “คนที่ใช่” (destiny belief)
พอเราเจอ “คนที่ใช่” เมื่อไหร่…ทุกอย่างก็จะ “เข้าล็อก”
ความสัมพันธ์ก็จะก่อตัวและดำเนินไปอย่าง (ค่อนข้าง) ราบรื่น
ถ้าความสัมพันธ์ “ติดขัด” เมื่อไหร่…แสดงว่าคนที่เราคบอยู่ คือ “คนที่ไม่ใช่”
แสดงว่าความสัมพันธ์ที่มีอยู่ คือ ความสัมพันธ์ที่ “ไม่ใช่”
ฉะนั้น โอกาสที่ความสัมพันธ์จะยุติลงเมื่อเกิดความ “ติดขัด” จึงมีสูง
แต่สำหรับบางคน พวกเขาเชื่อว่า…ความรักที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเจอ “คนที่ใช่” ขนาดนั้น (growth belief)
ต่อให้คนที่เราคบด้วย…จะไม่ได้เป็น “คนที่ใช่”
แต่ถ้าทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมที่จะ “เรียนรู้” และ “เติบโต” ไปด้วยกัน
ความสัมพันธ์ก็จะ “เบ่งบาน” ได้
ความ “ติดขัด” ที่พบในความสัมพันธ์…ถือเป็นโอกาสที่จะช่วยให้ความสัมพันธ์ “เติบโต” ไปอีกก้าวหนึ่ง
หลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้…อาจจะเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า…มุมมองแบบไหนที่ “มีประโยชน์” มากกว่ากัน?
ผมคิดว่า…มุมมองที่ “มีประโยชน์” มากกว่า (ในแง่ของการพัฒนาและรักษาความสัมพันธ์) คือ มุมมองแบบ growth belief ครับ
เพราะต่อให้เราจะอยู่ในความสัมพันธ์ที่ดีขนาดไหน เราก็จะยังเจอกับความ “ติดขัด” อยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น…ความ “ติดขัด” ส่วนใหญ่ (ราวๆ 69% ของความ "ติดขัด" ทั้งหมดที่โผล่ขึ้นมาในความสัมพันธ์)…ยังเป็นความ “ติดขัด” ประเภทที่ “แก้ไม่หาย” เสียด้วย!
ฉะนั้น ถ้าเรามองความรักในมุมมองแบบ destiny belief ล่ะก็
นอกจากเราจะไม่มีวันเจอ “คนที่ใช่” แม้แต่คนเดียวแล้ว
เรายังจะเจอแต่ “คนที่ (โคตร) ไม่ใช่” อีกด้วยครับ!
แหล่งอ้างอิง
Gottman, J. M. (1994). What predicts divorce? The relationship between marital processes and marital outcomes. Lawrence Erlbaum Associates, Inc.
Knee, C. R. (1998). Implicit theories of relationships: Assessment and prediction of romantic relationship initiation, coping, and longevity. Journal of Personality and Social Psychology, 74(2), 360–370.
เวลาเราพูดคำว่า “ซึมเศร้า” เราอาจจะนึกถึงคนที่พลังงานต่ำๆและร้องไห้บ่อยๆ
อย่างไรก็ตาม คนที่ active ในการใช้ชีวิตและยิ้มแย้มแจ่มใส…ก็สามารถมีภาวะ “ซึมเศร้า” ได้เช่นกัน
เขาเพียงแค่เลือกที่จะไม่แสดงอาการ “ซึมเศร้า” ออกมาภายนอกต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น
ฝรั่งเรียกสิ่งนี้ว่า smiling depression หรือภาวะซึมเศร้าที่เปื้อนรอยยิ้ม
สาเหตุที่ทำให้คนที่มีภาวะ “ซึมเศร้า” เลือกที่จะแสดงออกในลักษณะ “เปื้อนยิ้ม” เวลาอยู่กับคนอื่น…มีอยู่หลายประการด้วยกันครับ
แต่สาเหตุที่ตัวผมพบบ่อยๆเวลาที่ผมให้บริการก็คือ…พวกเขาไม่อยากโดนคนอื่นตัดสิน (เช่น “เรียกร้องความสนใจ” “อ่อนแอ” “พยายามไม่มากพอ” “ประหลาด” “ไร้ความสามารถ”)
ซึ่งการไม่อยากโดนคนอื่นตัดสินนี้…ก็เป็นอะไรที่ “มีมูล” ในหลายๆครั้งเสียด้วย (กล่าวคือ พวกเขาเคยโดนคนอื่นตัดสินด้วยคำว่า “เรียกร้องความสนใจ” “อ่อนแอ” “พยายามไม่มากพอ” “ประหลาด” “ไร้ความสามารถ” มาก่อนจริงๆ)
ผมมองว่า…นี่เป็นอะไรที่อันตรายมากๆ
เพราะครอบครัวและเพื่อนของคนที่มีภาวะ “ซึมเศร้าเปื้อนยิ้ม” จะมองเห็น “สัญญาณเตือนภัย” ได้ไม่ชัดเจน
กว่าพวกเขาจะเอะใจ…มันก็อาจจะสายเกินไปแล้ว – สมาชิกครอบครัวหรือเพื่อนของพวกเขาที่มีภาวะ “ซึมเศร้าเปื้อนยิ้ม” อาจจะฆ่าตัวตายสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงคิดว่า…การสร้างบรรยากาศที่ทุกคนสามารถแสดงความทุกข์ใจได้โดยไม่ถูกตัดสินว่า “เรียกร้องความสนใจ” “อ่อนแอ” “พยายามไม่มากพอ” “ประหลาด” “ไร้ความสามารถ” ฯลฯ…จึงเป็นเรื่องสำคัญ
มันอาจจะ “แก้ปัญหา” ได้ไม่หมดชนิด “ทุกซอกทุกมุม” หรอกนะครับ
แต่มันก็ช่วยได้เยอะเลยครับ
B.F. Skinner เป็นนักจิตวิทยาคนหนึ่งที่ทำการทดลองกับสัตว์บ่อยมาก
หนึ่งในการทดลองของ Skinner ที่ผมจำได้แม่นจนถึงทุกวันนี้ คือ การทดลองที่ Skinner ทำกับหนู
Skinner เอาหนู 3 ตัวใส่ไว้กรง 3 ใบ
กรงใบแรกมีปุ่มกดอาหารที่ทำงานได้ตามปกติ - ทุกครั้งที่หนูเอาขากดปุ่ม กลไกในกรงก็จะทำงานและ “คาย” อาหารออกมาให้หนูกินเสมอ
กรงใบที่สองมีปุ่มกดอาหารที่เสีย – ไม่ว่าหนูจะเอาขากดปุ่มไปกี่ครั้ง กลไกในกรงก็จะไม่ยอม “คาย” อาหารออกมาให้หนูกินแม้แต่ครั้งเดียว
กรงใบที่สามมีปุ่มกดอาการที่ทำงานได้เป็นครั้งคราว - เวลาที่หนูเอาขากดปุ่ม บางครั้ง กลไกในกรงก็จะ “คาย” อาหารออกมาให้หนูกิน แต่บางครั้ง กลไกในกรงก็จะไม่ “คาย” อาหารออกมาให้หนูกิน
Skinner พบว่า…หนูในแต่กรง…มีพฤติกรรมที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
หนูกรงแรกจะใช้ชีวิตตามปกติของมัน
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มันรู้สึกหิว มันก็จะเดินมากดปุ่ม
หนูกรงที่สองเมินปุ่มกดอาหารโดยสมบูรณ์
แต่ที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หนูกรงที่สามครับ
มันแทบจะไม่ทำอย่างอื่นเลย…นอกจากกดปุ่มอาหารเพียงอย่างเดียว
กลไกที่ “ให้รางวัล” เป็นครั้งคราวของกรงที่สาม…สร้างความ “เสพติด” ให้กับหนูเป็นอย่างมาก
งานของ Skinner อาจจะเป็นงานที่ทำกับหนู
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า…ข้อค้นพบของ Skinner…จะไม่เป็นจริงกับมนุษย์
ผมเคยได้ยินฝรั่งคนหนึ่งพูดว่า
“People fall in love with jerks because they don’t always act like jerks!”
“คนเราตกหลุมรักแฟนแย่ๆได้…ก็เพราะพวกเขาไม่ได้เป็นแฟนที่แย่ตลอดเวลา!”
นี่มันคือกรงที่สามชัดๆเลยครับ!
ทำตัวแย่ๆเป็นส่วนใหญ่ (กดปุ่มอาหารแต่ไม่ยอม “คาย” อาหารออกมา)
แต่ก็ทำดีด้วยเป็นครั้งคราว (กดปุ่มอาหารและยอม “คาย” อาหารออกมา)
ฉะนั้น มันจึงไม่น่าแปลกใจเลยครับ…ที่หลายคนจะ “ตกหลุมรัก” แฟนแย่ๆชนิด “ถอนตัวไม่ขึ้น” ได้ (กดปุ่มอาหารรัวๆโดยที่ไม่สนใจสิ่งอื่น) ดูน้อยลง
ตอนที่ผมยังเรียนอยู่ ม.ต้น…ผมเจอเด็กผู้หญิงคนนึง
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึก “ชอบ” ใครสักคน
ผมจำได้ว่า…เพียงแค่ผมมองไปยังทิศทางที่เธอนั่งอยู่…ผมก็รู้สึกใจหวิวๆแล้ว
ฉะนั้น…ผมคงไม่ต้องบอกนะครับว่า…พอผมได้มีจังหวะพูดคุยกับเธอ…ผมจะเป็นยังไง
หน้าแดง ท้องไส้ปั่นป่วน ใจเต้นรัว เสียงสั่น ฯลฯ => ผมเชื่อว่าตัวผมในตอนนั้น…น่าจะ “เก็บทรงไม่อยู่” อย่างแรงเลยทีเดียว
การ “เก็บทรงไม่อยู่” ที่เกิดขึ้น…ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเอง “พลาด” มากๆ
เพราะตอนนั้น....ผมเชื่อว่าผมควรจะต้องนิ่งๆ คูลๆ เท่ๆ (เหมือนพวกพระเอกในหนังที่ผมดูในยุคนั้น)…ถึงจะดี
อย่างไรก็ตาม ถ้าตัวผม ณ ตอนนี้สามารถย้อนเวลากลับไปพูดกับตัวเองในวัยมัธยมฯต้นได้…ผมจะบอกให้ตัวเองละความพยายามที่จะ “เก็บทรงให้อยู่” อย่างไม่ลังเลเลยครับ
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า
หนึ่ง ผมรู้ตัวดีครับว่าผม “เก็บทรง” ไม่เก่ง...ต่อให้ฝืน "เก็บทรง" ขนาดไหน...สุดท้ายก็ไม่รอดอยู่ดี
สอง การที่เรา “เก็บทรงไม่อยู่” ไม่ได้ทำให้เรา “น่าดึงดูด” น้อยลงในสายตาของเพศตรงข้ามเลยครับ
อันที่จริง นักจิตวิทยาพบว่า…การ “เก็บทรงไม่อยู่” นี้…ทำให้เราดู “น่าดึงดูด” มากขึ้นเสียด้วยซ้ำ!
นักจิตวิทยาให้เหตุผลว่า…เวลาที่เรา “เก็บทรงไม่อยู่” อีกฝ่ายเขาจะเห็นได้ค่อนข้างชัดเจน…ว่าเราชอบเขา
มันทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่า…เรา “จริงใจ” “เปิดเผย” “ไม่มีอะไรในกอไผ่”
มันทำให้อีกฝ่ายรู้สึกปลอดภัยกับเรา
และสามารถนำไปสู่การตัดสินใจที่จะสานสัมพันธ์กับเราต่อนั่นเอง
ฉะนั้น อย่าเสียเวลาและพลังงานไปกับการควบคุมไม่ให้ตัวเองหน้าแดง ท้องไส้ปั่นป่วน ใจเต้นรัว เสียงสั่น ฯลฯ เลยครับ
ถ้าหน้ามันจะแดง...ก็ปล่อยให้มันแดงไป
ถ้าท้องไส้มันจะปั่นป่วน...ก็ปล่อยให้มันปั่นป่วนไป
ถ้าใจมันจะรัวเหมือนกลอง...ก็ปล่อยให้มันรัวไป
ถ้าเสียงมันจะสั่น...ก็ปล่อยให้มันสั่นไป
ร่างกายเราอุตส่าห์ทำงานอย่างหนักเพื่อสร้าง "แต้มต่อ" ให้กับเรา
อย่าไป "ขวางทาง" ร่างกายของเราเลยครับ
แหล่งอ้างอิง
Hughes, S. M., Harrison, M. A., & de Haan, K. M. (2020). Perceived nervous reactions during initial attraction and their potential adaptive value. Adaptive Human Behavior and Physiology, 6(1), 30–56.