ข้อดีของการพูดคุยกับนักจิตวิทยาการปรึกษามีอยู่อย่างน้อย 4 ประการครับ
ประการแรก รายละเอียดของสิ่งที่พูดคุยกับนักจิตวิทยาจะถูกเก็บเป็นความลับ (ยกเว้นกรณีพิเศษบางกรณี เช่น กรณีที่ผู้รับบริการมีแนวโน้มที่จะทำร้ายตนเองหรือผู้อื่นอย่างรุนแรง)
ประการที่สอง การพุดคุยกับนักจิตวิทยาการปรึกษา คือ การพูดคุยกับคนที่พร้อมจะรับฟัง เข้าใจ และไม่ตัดสินเรา
ประการที่สาม นักจิตวิทยาการปรึกษาจะไม่ “ยัดเยียด” คำตอบให้กับผู้รับบริการ แต่จะช่วยให้ผู้รับบริการ “ค้นพบ” คำตอบที่เหมาะสมกับตัวผู้รับบริการเองมากที่สุด
ประการที่สี่ นักจิตวิทยาการปรึกษาไม่เพียงแค่ช่วยให้ผู้รับบริการเข้าใจสถานการณ์ ความคิด ความรู้สึก และการกระทำของตนเองได้มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้รับบริการบริหารจัดการสถานการณ์ ความคิด ความรู้สึก และการกระทำของตนเองได้ดีขึ้นอีกด้วย
ในทางปฏิบัติ จิตแพทย์มักจะพูดคุยในลักษณะ “สอบถามอาการ” (เช่น ทานอาหารเป็นอย่างไร นอนหลับมากน้อยแค่ไหน) และใช้ยารักษาเป็นหลัก
ส่วนนักจิตวิทยาการปรึกษาจะพูดคุยในลักษณะที่ช่วยให้ผู้รับบริการเข้าใจและบริหารจัดการความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมของเราได้ดีขึ้น
หลายคนเข้าใจว่า เราจะคุยกับนักจิตวิทยาการปรึกษาก็ต่อเมื่อเรามีปัญหาสุขภาพจิต “ร้ายแรง” เท่านั้น (เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล แพนิค ไบโพลาร์ ย้ำคิดย้ำทำ)
แต่ในความเป็นจริงนั้น ต่อให้เราจะไม่ได้มีปัญหาสุขภาพจิต “ร้ายแรง” เราก็สามารถนำประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตมาพูดคุยกับนักจิตวิทยาการปรึกษาได้เช่นกันครับ (เช่น ความสัมพันธ์กับคนรัก ความสัมพันธ์กับครอบครัว ความสัมพันธ์กับคนในที่ทำงาน การเรียน การทำงาน การสูญเสียบุคคลสำคัญในชีวิต การพัฒนาตัวเอง การรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในชีวิต)
ได้ครับ
อันที่จริง มีงานวิจัยพบว่า การทานยาควบคู่ไปกับการพูดคุยกับนักจิตวิทยาการปรึกษาสามารถให้ผลดีกว่าการทานยาเพียงอย่างเดียวหรือการพูดคุยกับนักจิตวิทยาการปรึกษาเพียงอย่างเดียวเสียด้วยครับ
ในแง่หนึ่ง การมาพูดคุยกับนักจิตวิทยาการปรึกษาก็คล้ายๆกับการมาทานข้าวที่ร้านอาหารเลยครับ
หากเราทานข้าวไป 1 จานและรู้สึก “อิ่ม” แล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องทานจานที่ 2
แต่ในทางกลับกัน หากเราทานข้าวไปแล้ว 1 จาน แต่เรายัง “หิว” อยู่ เราก็สามารถสั่งจานที่ 2 ต่อได้ การพูดคุยกับนักจิตวิทยาการปรึกษาก็เช่นกันครับ (โดยส่วนใหญ่ ผู้รับบริการมักจะใช้เวลาพูดคุยกับนักจิตวิทยาการปรึกษาจำนวน 1-2 ครั้งครับ)